Blog

เช็คสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเครียดมากเกินไป

เช็คด่วนสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเครียดมากเกินไป ความเครียดเป็นสิ่งที่คนเรามักจะหนีไม่ค่อยพ้นสักเท่าไร เพราะในแต่ละวันเราจะต้องพบกับความเครียดจากเรื่องต่าง ๆและเมื่อไม่ได้รับการผ่อนคลาย ความเครียดเหล่านั้นก็จะสะสมกันไปเรื่อย ๆ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเรา รวมถึงเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการใช้ชีวิต แต่ก่อนที่จะมันจะส่งผลร้ายกับเรามันก็ย่อมต้องส่งสัญญาณเตือนก่อนอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าเราจะรู้หรือไม่ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกท่านไปพบกับสัญญาณเตือนของความเครียด ใครที่กำลังเครียดต้องรีบเช็กด่วนแล้วล่ะ ว่าตัวเองเครียดมากเกินไปแล้วหรือเปล่า ไปดูกันเลย สัญญาณของความเครียดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม โดยความเครียดในแต่ละกลุ่มต่างก็ส่งผลร้ายกับสุขภาพของเราไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ซึ่งทั้ง 4 ประเภทแบ่งออกเป็นดังนี้ 1. อาการทางด้านเชาว์ปัญญา เมื่อเกิดความเครียดขึ้น สมองของเรามักจะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก และเมื่อส่งผลกับสมองแล้วก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองเกิดความผิดปกติ ตัวอย่างเช่น มีปัญหาเรื่องความจำ ความเครียดเปรียบเสมือนหมอกหนาที่อยู่ในหัวของเรา เมื่อเราเกิดความเครียด มันก็จะบดบังสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในหัวของเราจนทำให้เรากลายเป็นคนขี้ลืม เช่น อาจจะหลงลืมกับเรื่องเล็ก ๆ สมาธิลดลง ความเครียด ส่งผลให้เรามีสมาธิน้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้ความอดทนของเราต่ำลงมากกว่าปกติจนบางครั้งเราอาจจะเกิดอาการหงุดหงิดและเอะอะโวยวาย เนื่องจากไม่สามารถเพ่งความสนใจไปกับการทำงานได้ วิตกกังวล ความวิตกกังวลก็เป็นความเครียดชนิดหนึ่งที่ส่งผลทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังทำผิดพลาด และทำให้คุณไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำ หรือหวาดกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แก้ไขปัญหาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่นเดียวกับการตัดสินใจ เมื่อคนเรามีความเครียด สมองของเราจะทำงานได้ช้าลง ความคิดสร้างสรรค์และไอเดียต่าง ๆ ก็จะลดลง จนทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้ง ๆ ที่ ปัญหาอาจจะไม่ใหญ่โต

2. อาการทางด้านอารมณ์

          จะสังเกตได้ว่าเมื่อเกิดความเครียด คนเราจะมีอารมณ์ที่แปรปรวนและไม่คงที่อยู่ตลอดเวลา บางรายอาจจะอารมณ์ร้ายมากขึ้นกว่าเดิม หรือไม่ก็มีอาการซึมเศร้าจนเห็นได้ชัด ซึ่งอาการที่เกิดจากความเครียดที่ส่งผลต่ออารมณ์มีดังนี้

          - อารมณ์แปรปรวน
          คงไม่มีใครอยากจะเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนตลอดเวลา เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย แต่บางครั้งความเครียดก็ทำให้เรารู้สึกอารมณ์แปรปรวนได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเครียดละก็ ควรจะรีบตั้งสติให้ได้นะคะ ไม่อย่างนั้นอารมณ์ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอาจจะส่งผลกับการทำงานได้
          -ฉุนเฉียว 

          เคยเป็นไหมคะ เวลาที่เรารู้สึกเครียด ไม่ว่าอะไรก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมด จนทำให้เราอาจจะเหวี่ยงใส่คนรอบข้างโดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเกิดความเครียดควรจะใจเย็นให้มาก ๆ เลย

          -ซึมเศร้าและร้องไห้ 

          อาการซึมเศร้าเป็นสิ่งที่จะมักจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดความเครียด บางคนเลือกใช้การร้องไห้เป็นการระบายความอัดอั้นในใจออกมา ซึ่งถึงแม้ว่าจะช่วยได้บ้างแต่ตราบใดที่ไม่หายเครียดก็ไม่อาจหนีจากความซึมเศร้าพ้นอย่างแน่นอน

          -รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว 

          ความเครียดอาจส่งผลทำให้หลายคนปลีกตัวเองออกจากสังคมโดยไม่รู้ตัว จนรู้สึกเหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยว และการอยู่เพียงคนเดียวตามลำพังในภาวะความเครียดนั้นอาจส่งผลทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมาได้อีกด้วย 

3. อาการทางด้านร่างกาย (Physical Symptoms) สัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดของอาการเครียดมักแสดงออกให้เห็นทางร่างกาย โดยอาการทางร่างกายจะเริ่มทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นจนอาจถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล อาการส่วนใหญ่ที่พบมีดังนี้ค่ะ ปวดหัว ความเครียดจะส่งผลทำให้เกิดอาการปวดหัว ซึ่งบางรายอาจจะมีอาการปวดไหล่และคอร่วมด้วย หรือบางรายก็อาจจะเกิดอาการปวดหัวร้ายแรง อย่างไมเกรนได้ค่ะ ผมร่วง ความเครียดอย่างรุนแรงจะทำให้เส้นผมที่อยู่ในช่วงการเติบโตหยุดการเจริญเติบโตอย่างกะทันหันและหลังจากนั้น 2 - 3 เดือนเส้นผมเหล่านั้นก็จะหลุดร่วงจากศีรษะค่ะ หนังตากระตุก อาการหนังตากระตุกหลายคนมักเชื่อว่ามันเป็นลางบอกเหตุ แต่จริง ๆ เวลาที่คนเราเครียดก็อาจจะทำให้หนังตากระตุกได้เช่นกัน กินจุบจิบไม่หยุด หลายคนยิ่งเครียดก็ยิ่งกินจุบกินจิบ และยิ่งหากไม่มีการออกกำลังกายร่วมด้วยก็จะทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่าย ๆ เลยล่ะค่ะ ปวดตามบริเวณต่าง ๆของร่างกาย ความเครียด มักทำให้เกิดอาการอ่อนล้าตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดอาการปวดที่บริเวณ ไหล่ คอ และหลัง ผิวพรรณหม่นหมอง ความเครียดเรื้อรังสามารถทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำลงได้ เพราะฮอร์โมนความเครียดจะไปทำให้ ทีโลเมียร์ ที่อยู่ส่วนปลายของดีเอ็นเอสั้นลง ทำให้ดีเอ็นเอไม่สามารถแบ่งตัวได้อย่างสมบูรณ์ส่งผลทำให้เกิดริ้วรอย และผิวพรรณหมองคล้ำก่อนวัย หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความเครียดจะส่งผลทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งโดยปกติคนเราจะมีอัตราการเต้นหัวใจอยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อนาที ซึ่งถ้าหากเกิดความเครียดสะสมและเรื้อรังเป็นเวลานานอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ความเครียดจะแสดงออกมาให้เห็นในรูปแบบของเหงื่อ เพราะเมื่อเกิดความเครียดจะทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนร่างกายขับเหงื่อออกมา ดังนั้นยิ่งคุณมีความกดดันก็จะยิ่งทำให้เหงื่อไหลออกมากถึงแม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกร้อนก็ตาม ระบบขับถ่ายมีปัญหา มื่อฮอร์โมนคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ระบบย่อยอาหารของคุณจะไปทำร้ายระบบลำไส้ของคุณเอง ซึ่งจะทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบขึ้นได้จากความเครียด แถมระบบย่อยอาหารก็ยังไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีเท่าที่ควรอีกด้วย คลื่นไส้ เวียนหัว อาการคลื่นไส้เวียนหัวเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากความเครียด โดยปกติแล้วจะมีแค่เพียงอาการคลื่นไส้และเวียนหัว แต่ถ้าหากอาการรุนแรงขึ้นจนเครียดลงกระเพาะก็อาจทำให้อาเจียนได้ ความเครียดจะทำให้ระบบฮอร์โมนเพศลดลง จนทำให้ความต้องการทางเพศลดตามลงไปด้วย แต่ฮอร์โมนเหล่านี้จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อเราหายเครียด อาการภูมิแพ้กำเริบ โรคภูมิแพ้เป็นหนึ่งในวิธีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งการตอบสนองนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดความเครียด โดยจะส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น

4. อาการที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ความเครียด นอกจากจะส่งผลต่อร่างกาย สมอง และอารมณ์แล้ว ก็ยังส่งผลทำให้พฤติกรรมในการใช้ชีวิตบางอย่างของเราเปลี่ยนไป ซึ่งถ้าหากปล่อยเรื้อรังอาจจะทำให้ติดกลายเป็นนิสัยได้ โดยส่วนใหญ่เราเมื่อเราเครียดจะเกิดพฤติกรรมดังต่อไปนี้ รับประทานมากขึ้นหรือน้อยลง สำหรับบางคน ความเครียดอาจจะทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร และสำหรับบางคนอาจจะทำให้ยิ่งต้องหาของหวานมารับประทาน ซึ่งการรับประทานของหวานมากเกินไปอาจจะทำให้อ้วนได้ เมื่อเรารู้สึกกังวล สมองของเราจะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้นอนไม่หลับ และจะส่งผลทำให้คุณอ่อนเพลีย ทำงานได้ไม่เต็มที่ และการที่พักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ความเครียด ส่งผลทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลงเนื่องจากเราจะเอาแต่สนใจกับสิ่งที่เราเครียดเพียงอย่างเดียวจนทำให้ดูเหมือนว่าปลีกแยกตัวเองออกจากสังคมได้ค่ะ ใช้ยาเสพติด บุหรี่ หรือแอลกอฮอล์มากขึ้น หลายคนเมื่อเกิดความเครียดและไม่สามารถหาทางออกได้ก็มักจะไปพึ่งแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้หายเครียดได้ เพียงแต่ลดความเครียดได้ชั่วคราวเท่านั้น แถมยังส่งผลร้ายต่อสุขภาพอีกด้วย รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา เมื่อเรารู้สึกกดดัน เราก็จะรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า ดังนั้นเมื่อคุณรู้สึกเครียดลองลุกขึ้นเดินไปรอบ ๆ เพื่อให้ผ่อนคลายก็จะทำให้หายอ่อนเพลียได้ค่ะ ทำผิดพลาดแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ความสามารถต่าง ๆ ของคุณจะถูกคุกคามอย่างรุนแรงเมื่อเกิดความเครียด จนทำให้ศูนย์การรับรู้ของสมองไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และทำให้คุณทำเรื่องผิดพลาดเอาได้ง่าย ๆ ความเครียด เป็นสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ดีต่อร่างกายของเราเลยสักนิด ดังนั้นจึงควรที่จะควบคุมความเครียดของเราให้ได้ โดยการทำสมาธิและการมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ยังสามารถผ่อนคลายความเครียดได้ด้วยการออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมที่คุณชื่นชอบทำก็ได้ค่ะ อย่าปล่อยให้ความเครียดส่งผลกับร่างกายอย่างเรื้อรัง เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคร้ายแรงกับคุณได้นะคะ ขอบคุณข้อมูลจาก

helpguide.org
cdc.gov
womenshealthmag.com
lifehack.org

kapook.com

  • Share :

Article

5การเสี่ยงในชีวิตการทำงานที่คุณควรลองทำดู

การเสี่ยงคงเป็นเรื่องที่พูดให้ลองก็เหมือนจะง่ายแต่ทำจริงๆ ก็คงจะยากอยู่เหมือนกัน ผมเองเขียนเรื่องการพัฒนาตัวเองซึ่งประเด็นว่าด้วยการเสี่ยงก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ แต่ก็ใช่ว่าทำได้ง่ายๆ และพอมาเป็นเรื่องของหน้าที่การงานหรือการตัดสินใจในการทำงานก็จะยิ่งแล้วใหญ่ (เพราะมันก็เกี่ยวกับอนาคตของคนเลยก็ว่าได้) วันก่อนผมก็ไปอ่านบทความของ The Muse ว่าด้วยการเสี่ยง (หรือการตัดสินใจ) บางอย่างในการทำงานซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงอยู่มาก แต่ก็เป็นเรื่องที่คุณควรจะลองเสี่ยงอยู่เหมือนกัน (ในบทความถึงกับใช้คำว่าถ้าคุณไม่เสี่ยงจะเสียใจเลยทีเดียว) เลยขอหยิบเอาแนวคิดจากบทความนั้นมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นไอเดียให้พิจารณาแล้วกันนะครับ 1. จ้างหรือให้โอกาสคนที่ไม่น่าจ้าง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าคุณควรเลือกคนประเภทสุดขั้วชนิดไม่ควรเอามาทำงานหรอกนะครับ แต่มันหมายถึงการลองมองเห็นความสามารถของคนมากไปกว่า Resume ที่ส่งเข้ามาให้คุณกรองต่างหาก เรื่องนี้มีสถิติน่าสนใจเพราะ Jeff Harden ซึ่งเป็นคนเขียนบทความนั้นทำแบบสอบถามบรรดาผู้ประกอบการต่างๆ ซึ่งก็พบว่าหนึ่งในบรรดาลูกจ้างที่โดดเด่นชนิดเป็นเพชรของบริษัทคือคนประเภทที่ตอนสมัครนั้นไม่ใช่พวกที่ตรงกับ Qualification เลย เรื่องความสามารถของพนักงานนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าคิดอยู่พอสมควร เพราะคนส่วนใหญ่มักมองเรื่องทักษะและประสบการณ์เป็นส่วนสำคัญในการคัดเลือก ทำให้เรามักมองหาคนจากประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน แต่หลายๆ ทีเราจะเจอคนเก่งๆ ที่ประสบการณ์ยังน้อยแต่เต็มไปด้วย “ไหวพริบ” “ทัศนคติ” และ “วิสัยทัศน์” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากประวัติการทำงานเลย และนี่อาจจะเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่คุณอาจจะต้องคิดกันเสียหน่อยเวลาหาคนมาทำงานให้กับองค์กรของคุณครั้งต่อไปล่ะ 2. ขอโทษกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้น บางครั้งเรามักจะเจอสถานการณ์ที่ได้ทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ไปจนประเภทอยากจะมุดดินหนี ไม่กล้าที่จะขอโทษเพราะมันจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์หรือประวัติของเราแย่ แต่ก็อีกนั่นแหละที่บางครั้งการขอโทษอาจจะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็ได้ (อันที่จริงการขอโทษไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใดเลยด้วยซ้ำ) แม้ว่าการยอมรับความผิดพลาดนั้นจะทำให้คุณดูแย่ในสายตาหลายๆคน จะทำให้คุณต้องพบกับความอับอาย แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้คุณไม่ได้รับผิดมันก็แย่อยู่แล้ว การที่คุณกล้าเสี่ยงขอโทษนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้ตัวคุณหลุดจากบ่วงหรือความอึดอัดหลายอย่างได้ในภายหลัง ผมลองคิดๆดูแล้ว ชีวิตคนเรามีหลายสิ่งที่เป็นความทรงจำฝังใจ และมันมักทำให้เรารู้สึกจี๊ดใจเวลานึกถึงอยู่เหมือนแผลที่ไม่เคยถูกรักษา ซึ่งมันก็อาจจะดีกว่าถ้าคุณต้องเจ็บสักครั้งแต่ทำให้แผลนั้นหายหรือไม่ติดค้างอะไรอีกต่อไปนั่นแหละ 3. เผชิญหน้ากับสิ่งที่คุณกลัวที่สุด คนเราล้วนมีความกลัว ล้วนมีบางเรื่องที่รู้สึกไม่มั่นใจเป็นเรื่องธรรมดา การงานก็เช่นกันที่คุณจะมีงานที่คุณกลัวที่จะทำ หรือกับสายงานที่คุณลำบากใจหากต้องไปยุ่ง แต่ก็อย่างว่าแหละครับว่าในบรรดาสิ่งที่คุณกลัวหรือคุณไม่กล้าเผชิญนั้นก็ย่อมแฝงไว้ด้วยโอกาสซึ่งคุณไม่เคยเข้าไปแตะต้องมัน และถ้าคุณกล้าจะเสี่ยงไปเผชิญหน้าหรือลองทำมันแล้ว ดีไม่ดีมันจะออกมากลายเป็นว่าคุณได้โอกาสอย่างไม่น่าเชื่อเลยก็ได้ เรื่องนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งน่าคิดว่าคนทำงานเก่งๆนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่กลัว เพียงแต่เขารู้ว่าการอยู่กับความกลัวตลอดไปไม่น่าจะใช่คำตอบเสียทีเดียว พวกเขาเลยลองทำโน่นทำนี่ กล้าที่จะเสี่ยงกับบางอย่างใหม่ๆที่อาจจะไม่เคยทำ (และบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เขากลัวด้วย) และการที่เขาลองทำอะไรนี่แหละทำให้ศักยภาพของเขามากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆและสุดท้ายกลายเป็นว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากมายกว่าคนทั่วๆไปนั่นแหละครับ 4. ทำในสิ่งที่คุณอยากทำแม้ว่าจะไม่ตรงกับสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง เรามักเห็นบ่อยๆว่าไอเดียบรรเจิดๆของคนๆหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้นเป็นอะไรที่ “ผ่าเหล่า” บ้างก็ชนิดคนทั่วไปคงร้องยี้หรือเบือนหน้าหนี แน่นอนว่าปรกติแล้วคนรอบข้างคุณก็มักจะมีความเห็นหลายๆอย่างซึ่งก็จะมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคุณแต่ก็นั่นแหละที่ถ้าคุณเอาแต่ฟังคนอื่นเพื่อมาคอยคอนเฟิร์มคิดอยู่ตลอดก็คงจะไม่ใช่เรื่องเข้าท่าสักเท่าไร บางเรื่องเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกอยู่ลึกๆหรือเป็นประเภทที่ตัวตนของคุณร่ำร้องว่าต้องทำอย่างนั้น และคุณก็ควรจะลองเสี่ยงไปกับมันแทนที่จะรอฟังความเห็นคนอื่นๆ (ซึ่งก็มักจะเป็นตัวเบรกนั่นแหละ) ถ้าคุณรู้สึกกับอะไรมากๆหรือมีความฝันที่อยากทำในงาน ลองเสี่ยงกับมันบ้าง อย่าปล่อยให้การทำงานประสาคนออฟฟิศตีกรอบให้คุณไม่ได้ลงมือทำอะไรใหม่ๆ เลย 5. ให้ความช่วยเหลือคนอื่น ผมเชื่อว่าหลายๆคนมักจะเจอบรรยากาศประเภท “อย่าไปเสนอความคิดเห็นเลย ไม่ใช่เรื่องของเรา” อยู่บ่อยๆ และนั่นทำให้ในองค์กรมักเจอสถานการณ์พวกต่างคนต่างทำ แต่เอาจริงๆแล้วถ้าคุณรู้เรื่องบางเรื่องที่พอจะช่วยเหลือคนอื่นได้ มันก็คงไม่ได้แย่อะไรนักหรอกถ้าคุณจะยื่นมือเข้าไปช่วย หรือสนับสนุนคนอื่นๆ แม้ว่าเรื่องนั้นๆจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลยก็ตาม แน่นอนว่าการทำอย่างนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นพวกเสนอหน้า หรืออาจจะสร้างภาระให้กับตัวเอง แต่ในหลายๆครั้งที่คุณก้าวไปช่วยคนอื่นก็ทำให้คุณได้ผลประโยชน์ตามมาอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพ ตลอดไปจนความรู้บางอย่างที่คุณอาจจะไม่มีโอกาสได้รู้ถ้ายังคงง่วนอยู่กับงานตัวเองอย่างเดียวนั่นแหละครับ Credit:http://www.nuttaputch.com/5-risks-in-working-life-that-worth-to-take/
read more

วิธีสร้างความภูมิใจในการทำงาน

ความสุขในการทำงานของเรา จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากว่าเราไม่ได้มี “ความภูมิใจ” ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่มองข้ามไปไม่ได้เลยครับ เพราะนอกจากจะทำให้เราทำงานอย่างมีความสุขแล้ว ยังช่วยให้เราพรีเซนต์ตัวเองตอนสัมภาษณ์งานได้อย่างมั่นใจอีกด้วย ส่วนวิธีจะมีอะไรบ้างนั้น เราไปดูกันเลย... 1.ตั้งเป้าหมายในการทำงาน...ถือเป็นข้อแรกในการสร้างความภูมิใจเลยครับ เพราะหากไม่มีเป้าหมายกับงานที่ทำ ก็เหมือนกับการทำงานแลกเงินไปวัน ๆ พร้อมทั้งความสุขในการทำงานก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงไปด้วยนะ ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ลองตั้งเป้าหมายดูครับ อาจจะไม่ต้องยาวถึงอนาคตอันไหล แค่เป็นแบบโปรเจคไปก็เริ่มสร้างภูมิใจในการทำงานได้แล้วครับ 2. ทำอย่างเต็มที่...คงได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ว่าเหนื่อยมากยิ่งได้มาก การที่เราลงมือทำงานของเราอย่างสุดความสามารถนั้น เมื่องานสำเร็จเสร็จสิ้น พอมองย้อนกลับไปความภูมิใจก็จะเกิดขึ้นมาได้เหมือนกัน ยิ่งถ้าเป็นงานที่ยาก หรือการข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้ก็ยิ่งภูมิใจใช่ไหมครับ 3. ทำในสิ่งที่รัก...ไม่ว่าใครก็ต้องมีความฝัน หรือสิ่งที่อยากจะทำกันทั้งนั้น แม้ว่าบางทีจังหวะในชีวิตจะไม่เป็นใจก็ตาม  เพียงแต่เรายังมั่นคงกับสิ่งที่เรารัก สักวันเราจะต้องไปถึง และก้าวเดินไปกับสิ่งที่เรารักอย่างภาคภูมิใจแน่นอนครับ 4. การช่วยเหลือคนอื่น...แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำงานทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยคนเดียวครับ การที่เรารู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั้นจะทำให้งานออกมาดี แถมยังได้ภาคภูมิใจกับความสำเร็จนั้นไปด้วยกันกับทีมอีกด้วย 5.การเลี้ยงดูบุพการี ผ่อนภาระครอบครัว.....เมื่อเรามีรายได้ เราได้นำเงินส่วนนั้นมาจุนเจือครอบครัว หรือช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ลงไปบ้าง ทำให้ท่านเหนื่อยน้อยลง ไม่ต้องมีเราไปเป็นภาระค่าใช้จ่ายของท่านอีก นี่ก็เป็นการมองย้อนที่เราควรจะภูมิใจได้เป็นอย่างดีเลยครับทั้งนี้ทั้งนั้น ความภูมิใจในงานที่ทำ ต้องไม่เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นด้วยนะครับ จึงจะเรียกได้ว่า ภูมิใจอย่างแท้จริง ด้วยความปราถนาดีจาก jobbkk.com และสำหรับข่าวสารดี มีสาระ พร้อมกิจกรรม เพื่อนๆ สามารถติดตามพวกเราได้ที่Youtube: https://www.youtube.com/user/jobbkkdotcomJOBBKK Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/jobbkk
read more

สถานการณ์ปัจจุบันอันเกิดจากโรคระบาดประกันสังคมสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนเพิ่มเติมเพื่อลดความเดือดร้อนของผู้ประกันตนตามมาตรา33

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 ประกันสังคมเริ่มจ่ายเงินชดเชยกรณีว่างงาน ในอัตรา 62% ของค่าจ้างรายวัน ไม่เกิน 90 วัน เนื่องจากเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากโรคระบาดติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ.2563  สำหรับลูกจ้างผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือแรงงานที่มีนายจ้าง หลังจากได้ลงนามในกฎกระทรวงและประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 ซึ่งมีจำนวนผู้ได้รับเงินรอบแรกนี้ราว 8 พันคน ผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์มี 2 กรณี คือ 1 ผู้ประกันตนที่ไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ผู้ประกันตนมาทำงาน กักตัว 14 วัน เนื่องจากสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ COVID – 19 2 ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้ และไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ไม่ว่านายจ้างจะหยุดประกอบกิจการเอง หรือหยุดประกอบกิจการตามคำสั่งของราชการ ซึ่งทำให้ผู้ประกันตนไม่ได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้ คุณทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ย้ำว่า ผู้ประกันตนที่จะได้รับเงินชดเชยต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ต้องไม่ถูกเลิกจ้างหรือลาออก และไม่ได้รับเงินค่าจ้างจากนายจ้าง โดยนายจ้างต้องมารับรองด้วยว่าเป็นลูกจ้างจริง และให้ข้อมูลเรื่องช่วงเวลาที่มีการหยุดงาน ซึ่งข้อมูลของลูกจ้างและนายจ้างต้องตรงกัน ผู้ประกันตนสามารถยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนได้ 2 ช่องทาง คือ 1 ยื่นขอรับผ่านออนไลน์ทางเว็บไซต์ www.sso.go.th เข้าไปที่เมนู กรอกแบบฟอร์มขอรับประโยชน์ทดแทน คลิกที่นี่ !! จากนั้นคลิกที่เมนู แบบฟอร์มขอรับประโยชน์ กรณีว่างงาน (สำหรับลูกจ้าง/ผู้ประกันตน) ระบบจะมีลิงก์แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ขอรับประโยชน์ทดแทน กองทุนประกันสังคม กรณีว่างงาน (มาตรา 33 เท่านั้น) ให้คลิกเข้าไปกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน 2 ยื่นขอรับด้วยวิธีปกติ สามารถดาวน์โหลดแบบขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส.2-01/7) ได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th โดยพิมพ์แบบออกมากรอกข้อมูลพร้อมสำเนาหน้าบัญชีธนาคาร แล้วจัดส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ หรือส่งเอกสารทางโทรสาร (FAX) ของสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร/จังหวัด/สาขากำหนด   และนายจ้างต้องเข้าไปกรอกแบบฟอร์มผ่าน www.sso.go.th เช่นกัน โดยเลือกเมนู กรอกแบบฟอร์มขอรับประโยชน์ทดแทน คลิกที่นี่ !! และคลิกที่เมนู ยืนยันการหยุดงานของลูกจ้าง อันเนื่องจากเหตุสุดวิสัย (สำหรับนายจ้าง) จากนั้นจะมีลิงก์แบบหนังสือรับรองจากนายจ้าง เพื่อยืนยันการหยุดงานของลูกจ้าง เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ให้คลิกเข้าไปกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน หรือเลือกวิธีติดต่อกับสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร/จังหวัด/สาขากำหนด  ดูข้อมูลติดต่อสำนักงานได้ที่นี่ >> https://www.sso.go.th/eform_news/assets/sso-contacts.pdf ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิสามารถยื่นอุทธรณ์กับประกันสังคมได้ภายใน 30 วัน ขอบคุณข้อมูล : FB ไทยคู่ฟ้า (รัฐบาลไทย)  ,  www.sso.go.th
read more
Top