Blog

Blog

เช็คสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเครียดมากเกินไป

เช็คด่วนสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเครียดมากเกินไป ความเครียดเป็นสิ่งที่คนเรามักจะหนีไม่ค่อยพ้นสักเท่าไร เพราะในแต่ละวันเราจะต้องพบกับความเครียดจากเรื่องต่าง ๆและเมื่อไม่ได้รับการผ่อนคลาย ความเครียดเหล่านั้นก็จะสะสมกันไปเรื่อย ๆ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเรา รวมถึงเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการใช้ชีวิต แต่ก่อนที่จะมันจะส่งผลร้ายกับเรามันก็ย่อมต้องส่งสัญญาณเตือนก่อนอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าเราจะรู้หรือไม่ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกท่านไปพบกับสัญญาณเตือนของความเครียด ใครที่กำลังเครียดต้องรีบเช็กด่วนแล้วล่ะ ว่าตัวเองเครียดมากเกินไปแล้วหรือเปล่า ไปดูกันเลย สัญญาณของความเครียดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม โดยความเครียดในแต่ละกลุ่มต่างก็ส่งผลร้ายกับสุขภาพของเราไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ซึ่งทั้ง 4 ประเภทแบ่งออกเป็นดังนี้ 1. อาการทางด้านเชาว์ปัญญา เมื่อเกิดความเครียดขึ้น สมองของเรามักจะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก และเมื่อส่งผลกับสมองแล้วก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองเกิดความผิดปกติ ตัวอย่างเช่น มีปัญหาเรื่องความจำ ความเครียดเปรียบเสมือนหมอกหนาที่อยู่ในหัวของเรา เมื่อเราเกิดความเครียด มันก็จะบดบังสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในหัวของเราจนทำให้เรากลายเป็นคนขี้ลืม เช่น อาจจะหลงลืมกับเรื่องเล็ก ๆ สมาธิลดลง ความเครียด ส่งผลให้เรามีสมาธิน้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้ความอดทนของเราต่ำลงมากกว่าปกติจนบางครั้งเราอาจจะเกิดอาการหงุดหงิดและเอะอะโวยวาย เนื่องจากไม่สามารถเพ่งความสนใจไปกับการทำงานได้ วิตกกังวล ความวิตกกังวลก็เป็นความเครียดชนิดหนึ่งที่ส่งผลทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังทำผิดพลาด และทำให้คุณไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำ หรือหวาดกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แก้ไขปัญหาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่นเดียวกับการตัดสินใจ เมื่อคนเรามีความเครียด สมองของเราจะทำงานได้ช้าลง ความคิดสร้างสรรค์และไอเดียต่าง ๆ ก็จะลดลง จนทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้ง ๆ ที่ ปัญหาอาจจะไม่ใหญ่โต 2. อาการทางด้านอารมณ์           จะสังเกตได้ว่าเมื่อเกิดความเครียด คนเราจะมีอารมณ์ที่แปรปรวนและไม่คงที่อยู่ตลอดเวลา บางรายอาจจะอารมณ์ร้ายมากขึ้นกว่าเดิม หรือไม่ก็มีอาการซึมเศร้าจนเห็นได้ชัด ซึ่งอาการที่เกิดจากความเครียดที่ส่งผลต่ออารมณ์มีดังนี้           - อารมณ์แปรปรวน           คงไม่มีใครอยากจะเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนตลอดเวลา เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย แต่บางครั้งความเครียดก็ทำให้เรารู้สึกอารมณ์แปรปรวนได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเครียดละก็ ควรจะรีบตั้งสติให้ได้นะคะ ไม่อย่างนั้นอารมณ์ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอาจจะส่งผลกับการทำงานได้           -ฉุนเฉียว            เคยเป็นไหมคะ เวลาที่เรารู้สึกเครียด ไม่ว่าอะไรก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมด จนทำให้เราอาจจะเหวี่ยงใส่คนรอบข้างโดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเกิดความเครียดควรจะใจเย็นให้มาก ๆ เลย           -ซึมเศร้าและร้องไห้            อาการซึมเศร้าเป็นสิ่งที่จะมักจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดความเครียด บางคนเลือกใช้การร้องไห้เป็นการระบายความอัดอั้นในใจออกมา ซึ่งถึงแม้ว่าจะช่วยได้บ้างแต่ตราบใดที่ไม่หายเครียดก็ไม่อาจหนีจากความซึมเศร้าพ้นอย่างแน่นอน           -รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว            ความเครียดอาจส่งผลทำให้หลายคนปลีกตัวเองออกจากสังคมโดยไม่รู้ตัว จนรู้สึกเหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยว และการอยู่เพียงคนเดียวตามลำพังในภาวะความเครียดนั้นอาจส่งผลทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมาได้อีกด้วย  3. อาการทางด้านร่างกาย (Physical Symptoms) สัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดของอาการเครียดมักแสดงออกให้เห็นทางร่างกาย โดยอาการทางร่างกายจะเริ่มทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นจนอาจถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล อาการส่วนใหญ่ที่พบมีดังนี้ค่ะ ปวดหัว ความเครียดจะส่งผลทำให้เกิดอาการปวดหัว ซึ่งบางรายอาจจะมีอาการปวดไหล่และคอร่วมด้วย หรือบางรายก็อาจจะเกิดอาการปวดหัวร้ายแรง อย่างไมเกรนได้ค่ะ ผมร่วง ความเครียดอย่างรุนแรงจะทำให้เส้นผมที่อยู่ในช่วงการเติบโตหยุดการเจริญเติบโตอย่างกะทันหันและหลังจากนั้น 2 - 3 เดือนเส้นผมเหล่านั้นก็จะหลุดร่วงจากศีรษะค่ะ หนังตากระตุก อาการหนังตากระตุกหลายคนมักเชื่อว่ามันเป็นลางบอกเหตุ แต่จริง ๆ เวลาที่คนเราเครียดก็อาจจะทำให้หนังตากระตุกได้เช่นกัน กินจุบจิบไม่หยุด หลายคนยิ่งเครียดก็ยิ่งกินจุบกินจิบ และยิ่งหากไม่มีการออกกำลังกายร่วมด้วยก็จะทำให้น้ำหนักขึ้นได้ง่าย ๆ เลยล่ะค่ะ ปวดตามบริเวณต่าง ๆของร่างกาย ความเครียด มักทำให้เกิดอาการอ่อนล้าตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดอาการปวดที่บริเวณ ไหล่ คอ และหลัง ผิวพรรณหม่นหมอง ความเครียดเรื้อรังสามารถทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำลงได้ เพราะฮอร์โมนความเครียดจะไปทำให้ ทีโลเมียร์ ที่อยู่ส่วนปลายของดีเอ็นเอสั้นลง ทำให้ดีเอ็นเอไม่สามารถแบ่งตัวได้อย่างสมบูรณ์ส่งผลทำให้เกิดริ้วรอย และผิวพรรณหมองคล้ำก่อนวัย หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความเครียดจะส่งผลทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งโดยปกติคนเราจะมีอัตราการเต้นหัวใจอยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อนาที ซึ่งถ้าหากเกิดความเครียดสะสมและเรื้อรังเป็นเวลานานอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ความเครียดจะแสดงออกมาให้เห็นในรูปแบบของเหงื่อ เพราะเมื่อเกิดความเครียดจะทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนร่างกายขับเหงื่อออกมา ดังนั้นยิ่งคุณมีความกดดันก็จะยิ่งทำให้เหงื่อไหลออกมากถึงแม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกร้อนก็ตาม ระบบขับถ่ายมีปัญหา มื่อฮอร์โมนคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ระบบย่อยอาหารของคุณจะไปทำร้ายระบบลำไส้ของคุณเอง ซึ่งจะทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบขึ้นได้จากความเครียด แถมระบบย่อยอาหารก็ยังไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีเท่าที่ควรอีกด้วย คลื่นไส้ เวียนหัว อาการคลื่นไส้เวียนหัวเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากความเครียด โดยปกติแล้วจะมีแค่เพียงอาการคลื่นไส้และเวียนหัว แต่ถ้าหากอาการรุนแรงขึ้นจนเครียดลงกระเพาะก็อาจทำให้อาเจียนได้ ความเครียดจะทำให้ระบบฮอร์โมนเพศลดลง จนทำให้ความต้องการทางเพศลดตามลงไปด้วย แต่ฮอร์โมนเหล่านี้จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อเราหายเครียด อาการภูมิแพ้กำเริบ โรคภูมิแพ้เป็นหนึ่งในวิธีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งการตอบสนองนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดความเครียด โดยจะส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น 4. อาการที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ความเครียด นอกจากจะส่งผลต่อร่างกาย สมอง และอารมณ์แล้ว ก็ยังส่งผลทำให้พฤติกรรมในการใช้ชีวิตบางอย่างของเราเปลี่ยนไป ซึ่งถ้าหากปล่อยเรื้อรังอาจจะทำให้ติดกลายเป็นนิสัยได้ โดยส่วนใหญ่เราเมื่อเราเครียดจะเกิดพฤติกรรมดังต่อไปนี้ รับประทานมากขึ้นหรือน้อยลง สำหรับบางคน ความเครียดอาจจะทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร และสำหรับบางคนอาจจะทำให้ยิ่งต้องหาของหวานมารับประทาน ซึ่งการรับประทานของหวานมากเกินไปอาจจะทำให้อ้วนได้ เมื่อเรารู้สึกกังวล สมองของเราจะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้นอนไม่หลับ และจะส่งผลทำให้คุณอ่อนเพลีย ทำงานได้ไม่เต็มที่ และการที่พักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ความเครียด ส่งผลทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลงเนื่องจากเราจะเอาแต่สนใจกับสิ่งที่เราเครียดเพียงอย่างเดียวจนทำให้ดูเหมือนว่าปลีกแยกตัวเองออกจากสังคมได้ค่ะ ใช้ยาเสพติด บุหรี่ หรือแอลกอฮอล์มากขึ้น หลายคนเมื่อเกิดความเครียดและไม่สามารถหาทางออกได้ก็มักจะไปพึ่งแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้หายเครียดได้ เพียงแต่ลดความเครียดได้ชั่วคราวเท่านั้น แถมยังส่งผลร้ายต่อสุขภาพอีกด้วย รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา เมื่อเรารู้สึกกดดัน เราก็จะรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า ดังนั้นเมื่อคุณรู้สึกเครียดลองลุกขึ้นเดินไปรอบ ๆ เพื่อให้ผ่อนคลายก็จะทำให้หายอ่อนเพลียได้ค่ะ ทำผิดพลาดแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ความสามารถต่าง ๆ ของคุณจะถูกคุกคามอย่างรุนแรงเมื่อเกิดความเครียด จนทำให้ศูนย์การรับรู้ของสมองไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และทำให้คุณทำเรื่องผิดพลาดเอาได้ง่าย ๆ ความเครียด เป็นสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ดีต่อร่างกายของเราเลยสักนิด ดังนั้นจึงควรที่จะควบคุมความเครียดของเราให้ได้ โดยการทำสมาธิและการมองโลกในแง่ดี นอกจากนี้ยังสามารถผ่อนคลายความเครียดได้ด้วยการออกกำลังกาย หรือหากิจกรรมที่คุณชื่นชอบทำก็ได้ค่ะ อย่าปล่อยให้ความเครียดส่งผลกับร่างกายอย่างเรื้อรัง เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคร้ายแรงกับคุณได้นะคะ ขอบคุณข้อมูลจาก helpguide.org cdc.gov womenshealthmag.com lifehack.org kapook.com
Read More

วันสตรีสากลวันสำคัญแห่งการยกระดับความเท่าเทียมของผู้หญิง

วันสตรีสากล วันสำคัญแห่งการยกระดับความเท่าเทียมของผู้หญิง 8 มี.ค. 2565 เป็นวันที่มีความหมายพิเศษ ในฐานะ วันสตรีสากล ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญกับผู้หญิง วันสตรีสากลเป็นการเฉลิมฉลองในวันที่ 8 มีนาคมของทุกปีทั่วโลก และเป็นจุดสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี (International Women’s Day หรือ IWD) ถือกำเนิดมาจากขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนงาน จนกลายเป็นวันสำคัญประจำปีของโลกที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้การรับรอง การเฉลิมฉลองวันสตรีสากลครั้งแรกจึงมีขึ้นในปี 1911 ที่ประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนการฉลองครบรอบ 100 ปีมีขึ้นเมื่อปี 2011 ดังนั้นในปีนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองวันสตรีสากลเป็นปีที่ 111 แล้ว วันสตรีสากลได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากยูเอ็น เมื่อปี 1975 และในปี 1996 ยูเอ็นได้กำหนดคำขวัญประจำปีขึ้นเป็นครั้งแรกว่า “เฉลิมฉลองอดีต และวางแผนเพื่ออนาคต” วันสตรีสากลได้กลายเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองความสำเร็จและความก้าวหน้าของผู้หญิงทางด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ในขณะที่รากเหง้าทางการเมืองของวันนี้คือการผละงานประท้วงเพื่อจัดกิจกรรมรณรงค์เรียกร้องให้เกิดความเสมอภาคทางเพศต่อไป สำหรับความเคลื่อนไหวในประเทศไทย น.ส.ธนวดี ท่าจีน ผู้ประสานงานคณะทำงานเครือข่ายองค์กรเด็กและสตรี พร้อมด้วยมูลนิธิเพื่อนหญิง มูลนิธิ พิทักษ์สตรี มูลนิธิชุมชนไท มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก และเครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงแสวงสันติภาพจังหวัดชายแดนใต้ เป็นต้น เข้าพบตัวแทนรัฐบาล ยื่น 8 ข้อเสนอเร่งด่วนในโอกาสวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2565 ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านน.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ สำหรับข้อเรียกร้อง 8 ข้อ อาทิ ขอให้จัดทำแผนการติดตามความก้าวหน้า เร่งรัดรายคดีเกี่ยวกับเพศ เนื้อตัวร่างกาย คดีครอบครัว และการค้ามนุษย์ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กสตรี ขอให้ตำรวจยกระดับคดีเพศ ความรุนแรงในครอบครัว การค้ามนุษย์เป็นคดีพิเศษสำคัญเท่าเทียมกับคดียาเสพติด และอาชญากรรมร้ายแรง รัฐบาลต้องไม่สนับสนุน หรือผลักดันสถานบริการทางเพศ บ่อนการพนัน บุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นเรื่องถูกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษี เป็นต้น ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก็ใช้วันสตรีสากลใต้แคมเปญ #breakthebias #IWD2022 ปักหมุดประกาศจะศึกษาความเป็นไปได้ของนโยบายผ้าอนามัยฟรีถ้วนหน้า, ประกาศนำร่องโครงการในพรรคเพื่อไทย และจัดนิทรรศการเรื่องผ้าอนามัย จิ๋ม และความเป็นผู้หญิง เพื่อศึกษานโยบายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายที่เลี่ยงไม่ได้ของผู้หญิง และฝ่าอคติทางเพศไปพร้อมกัน
Read More

วันลาเพื่อพนักงานข้ามเพศ!foodpandaเพิ่มวันลาให้พนักงานLGBTQIA+อีก10วันเพื่อการเปลี่ยนผ่านเพศสภาวะ

วันลาเพื่อพนักงานข้ามเพศ! foodpanda เพิ่มวันลาให้พนักงาน LGBTQIA+ อีก 10 วัน เพื่อการเปลี่ยนผ่านเพศสภาวะ . ความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องที่สังคมในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญ ล่าสุด foodpanda อนุมัติสวัสดิการ ‘วันลาเพื่อพนักงานข้ามเพศ’ เพิ่มให้อีก 10 วัน สำหรับพนักงานกลุ่ม LGBTQIA+ . “เราต้องการสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตรและเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนสามารถหยุดงานเพื่อทำสิ่งที่สำคัญในชีวิตของแต่ละคน” . วันลาเพื่อพนักงานข้ามเพศ 10 วันนี้ มีให้สำหรับพนักงานที่มีกิจกรรมเพื่อการข้ามเพศ เช่น พนักงานที่ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเพื่อการข้ามเพศ การเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านเพศสภาวะของพนักงานข้ามเพศที่ทั้งเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ . นอกจากการประกาศเพิ่มวันลาสำหรับพนักงาน LGBTQIA+ แล้ว foodpanda ยังมีนโยบายที่เปิดกว้างสำหรับพนักงานอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานได้ใช้ชื่อในแบบที่พนักงานสบายใจ, การให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและรักษาความลับของพนักงานข้ามเพศ รวมไปถึงการกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับเพื่อนร่วมงานและผู้จัดการเอาไว้ด้วย . ปัจจุบันมีงานวิจัยที่เป็นที่ยอมรับว่าการเปิดกว้างกับความหลากหลายทางเพศในองค์กร จะช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้าสู่องค์กรได้มากขึ้น ข้อมูลจาก McKinsey เผยแพร่เมื่อปี 2020 พบว่า องค์กรที่มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะในระดับบริหารนั้นมีแนวโน้มประสบความสำเร็จสูงกว่าองค์กรที่ไม่มีความหลากหลายทางเพศถึง 48% นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะทำกำไรเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 21% ด้วย ขอขอบคุณบทความ : TheStandardPop และ Courtesy of foodpanda
Read More

วิธีจ้างคนออกรักษาคนเก่งในสไตล์แบบNETFLIX

วิธีจ้างคนออก รักษาคนเก่ง ในสไตล์แบบ NETFLIX ในหนังสือ No Rules Rules ที่เขียนโดย Reed Hastings ผู้ร่วมก่อตั้ง NETFLIX เคยพูดถึงวัฒนธรรมการทำงานของ NETFLIX เอาไว้ว่า จุดที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมาจนถึงวันนี้ได้ คือการมีกฎให้น้อยที่สุด  NETFLIX เป็นบริษัทที่เน้นให้พนักงานแต่ละคนมีอิสรภาพและเสรีภาพในการทำงาน ส่วนข้อกำหนดกฎระเบียบที่มีขึ้นเพื่อควบคุม จะมีให้น้อยที่สุด  เพราะเชื่อมั่นว่าพนักงานที่เข้ามาทำงานเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่เด็กๆ ที่ต้องคอยออกกฎมาควบคุม ยกตัวอย่างนโยบายการใช้เงินของ NETFLIX ในบริษัทจะมีนโยบายกว้างๆ บอกเอาไว้เลยว่า พนักงานจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้บริษัทได้ประโยชน์สูงสุด (Act in Netflix’s best interests)  ปรากฏว่า เวลาที่มีการประชุมต่างเมือง ทางบริษัทจะให้พนักงานกดจองตั๋วเครื่องบินเอง แล้วค่อยเอามาเบิกกับบริษัท สุดท้ายทำให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก เพราะไม่ต้องเอาเงินไปจ้างเอเย่นต์อีกต่อหนึ่ง แต่การจะทำแบบนี้ได้ พนักงานของ NETFLIX จะต้องมีจุดร่วมกันคือ ‘วัฒนธรรมที่เชื่อใจกันขั้นสูง’ (high trust culture) วัฒนธรรมแบบนี้ ทำให้ NETFLIX สามารถบริหารจัดการคนและองค์กรได้ดี และรวมไปถึงการคัดคนใหม่ๆ เข้ามาในบริษัทที่ตรงสเป็คได้ด้วย วิธีรักษาสภาพแวดล้อม ให้คนเก่งอยากทำงานกับ NETFLIX คนเราถ้าทำงานด้วยความเชื่อใจ จะทำอะไรก็ง่าย ไม่ต้องมีกฎเยอะแยะให้วุ่นวาย Patty McCord ที่ปรึกษาคนสำคัญผู้ปลุกปั้นวัฒนธรรมการทำงานของ NETFLIX บอกว่า สิ่งสำคัญของการบริหารคน เริ่มต้นมาตั้งแต่การคัดเลือก  เพราะการจะจ้างใครสักคนเข้ามาในบริษัท ต้องมั่นใจได้ว่า เขาจะเอาผลประโยชน์ขององค์กรเป็นที่ตั้ง และการได้คนแบบนี้มา องค์กรก็ไม่ต้องสร้างกฎมาควบคุมเยอะ และในท้ายที่สุดวัฒนธรรมที่ดีจะเกิดขึ้นตามมา “ถ้าเราจ้างพนักงานที่คิดถึงผลประโยชน์ของบริษัทมาได้จริงๆ พนักงานส่วนใหญ่ร้อยละ 97% จะเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เพราะฉะนั้นแล้ว HR ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเขียนกฎระเบียบอะไรมากมาย เพื่อใช้บังคับกับคนส่วนน้อยแค่ 3% ที่เหลือ” ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต “เราจึงทุ่มเทที่จะไม่จ้างกลุ่มคน 3% นี้ตั้งแต่แรก”  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้ามาพบทีหลังว่า NETFLIX ไปจ้างคนกลุ่ม 3% นี้เข้ามาในบริษัทจริงๆ สิ่งที่ทำก็คือ ทางบริษัทจะจ้างพวกเขาเหล่านี้ออก และจ่ายเงินชดเชยที่เหมาะสมให้ แต่นอกจากประเด็นนี้ NETFLIX ก็ยังใช้วิธีจ้างคนออกจากบริษัทในแบบอื่นด้วย โดยบอกไว้ว่า ถ้าพนักงานคนไหนมีผลงานไม่เข้าตาอย่างต่อเนื่อง และยิ่งถ้าได้รับการตักเตือนแล้ว แต่ไม่ได้ปรับปรุงตัว ก็ให้เตรียมโบกมือลาบริษัทได้เลย รู้หรือไม่ว่า วิธีคัดคนออกจากบริษัทในสไตล์ NETFLIX ที่ McCord มีส่วนสร้างขึ้น สุดท้ายมันก็กลับมาทำร้ายตัวเธอเอง เพราะเธอเคยถูกจ้างออกจากบริษัทในปี 2012  นี่ถือเป็นตัวอย่างที่สะท้อนการทำงานแบบ NETFLIX ที่ผู้ก่อตั้งเน้นย้ำเสมอว่าต้องการเป็น “ทีมกีฬามืออาชีพ”  นั่นหมายความว่า ในช่วงแรกที่ทีมยังไม่แข็งแกร่ง ทีมต้องการตัวเธอ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งที่เธอร่วมสร้าง ทำให้ทีมมีความมั่นคง และสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว  ทีมหรือองค์กรจึงไม่ต้องการ ‘ผู้เล่น’ อย่างเธออีกต่อไป นี่คือวิธีที่ NETFLIX ใช้บริหารคน เพื่อขับเคลื่อนองค์กร การจ้างคนออก เพื่อรักษาคนเก่ง ถือเป็นหนึ่งในท่าไม้ตายสำคัญของการบริหารคน ที่ทำให้ NETFLIX ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ตอนนี้ NETFLIX เป็นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการสูงถึง 1.7 แสนล้านดอลลาร์ นับเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 69 ของโลก แต่ถึงอย่างนั้น หลายคนก็บอกว่า วิธีการบริหารคนแบบ NETFLIX ที่ว่ามานี้ มันดูโหดร้าย และอาจใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่เหมาะกับทุกสังคม ไม่เหมาะกับทุกบริษัท.. วิธีคัดคนออกแบบ NETFLIX โหดจริงหรือเปล่า? ข้อมูลจากคนวงในที่ทำงานใน NETFLIX อย่าง ‘ปัณฑารีย์ สุคัมภีรานนท์’ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดเน็ตฟลิกซ์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ให้สัมภาษณ์กับ workpointTODAY ในประเด็นการคัดคนออกของ NETFLIX ว่าทำไมดูโหดร้าย แล้วการเอาคนออกจากบริษัทเยอะขนาดนี้ ถึงที่สุด จะทำให้บริษัทไม่มั่นคงหรือเปล่า? ปัณฑารีย์ บอกว่า คำถามลักษณะนี้เคยมีพนักงานของ NETFLIX เอาไปถามผู้บริหาร และคำตอบที่ได้คือ  “เอาจริงๆ แล้ว เวลาที่เราเอา ‘ตัวเลข’ มาดู จะพบว่า อัตราพนักงานที่ออกจากบริษัท NETFLIX ในออฟฟิศที่สิงคโปร์ ไม่ได้ต่างจากบริษัทอื่นๆ เลย”  ปัณฑารีย์ บอกอีกด้วยว่า “ถ้าใช้ตัวเลขมาวัดกันจริงๆ นี่ก็ถือเป็นมุมมองใหม่ ที่ทำให้รู้สึกว่า นโยบายที่ดูสุดโต่งของ NETFLIX แท้ที่จริงแล้ว กลับพบว่า มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะตัวเลขการออกจากบริษัท (Turnover Rate) แทบไม่ต่างจากบริษัทอื่นเลย” ปิดท้ายด้วยข้อมูลน่าสนใจ ด้วยสไตล์การจ้างงานแบบ NETFLIX ที่เน้นคัดคนไม่เก่งออก และทุ่มเทดูแลคนเก่งๆ เพื่อให้เกิดความเชื่อใจในการทำงานแบบขั้นสุด ทั้งหมดนี้มันนำไปสู่นโยบายล้ำๆ อย่างการลาพักร้อนได้ไม่จำกัดของบริษัท ตามไปอ่านได้ที่ กรณีศึกษา นโยบายให้ ‘วันลาไม่จำกัด’ ของพนักงาน NETFLIX https://workpointtoday.com/unlimited-vacation-policy/  อ้างอิงข้อมูล  – วัฒนธรรมการจ้างคนของ NETFLIX https://www.forbes.com/sites/kevinkruse/2016/09/05/netflix-has-no-rules-because-they-hire-great-people – https://workpointtoday.com/powerful-netflix-patty-mccord/   – มูลค่าบริษัท https://companiesmarketcap.com/netflix/marketcap/  อ้างอิง ณ วันที่ 28 ก.พ. 2565 – ข้อมูลบางส่วนจาก workpointTODAY ที่สัมภาษณ์คนไทยที่ทำงานในบริษัท NETFLIX สำนักงานสิงคโปร์ https://youtu.be/RZdYa_9efZk  ขอบคุณ บทความจาก : ธงชัย ชลศิริพงษ์  (https://workpointtoday.com/writer/thongchai-cholsiripong/)
Read More

ไม่เลือกงานไม่ยากจนแล้วถ้าอยากได้งานดีๆต้องทำอย่างไร

“ไม่เลือกงานไม่ยากจน” อาจไม่จริงเสมอไป เพราะหากทำไปก่อนโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีทั้งที่ไม่อยากทำ รายจ่ายทั้งหมดเมื่อหักลบจากรายได้ของงานนั้นแล้ว อาจไม่เพียงพอ เดือนชนเดือนตลอด สุขภาพก็แย่ลงทุกวัน ไม่มีความสุขกับงาน อยากลาออกทุกวันแต่ก็ยอมทน เวลาให้ครอบครัวก็น้อยลงทุกที ซึ่งถ้าเราเจอสถานการณ์แบบนี้อาจหนักกว่าคำว่า “ยากจน”  . ที่สุดแล้ว เราก็ต้องเลือกงานที่เหมาะสมค่ะ นอกจากตรงทักษะความสามารถ หรือความชอบความอยากที่จะทำงานนั้นซึ่งสำคัญสุด รายได้ก็ต้องเพียงพอด้วย . แล้วงานยุคนี้จะหาจากไหนที่ให้เงินเดือนได้เพียงพอกับรายจ่ายเรา ? เบื้องต้นควรหางานที่ใกล้บ้านที่สุดก่อนค่ะ เพราะแม้เงินเดือนไม่เยอะมาก แต่ถ้าค่าเดินทางไม่สูง รายได้ที่เหลืออาจพอ ๆ กับงานที่ให้เงินเดือนสูงกว่าแต่อยู่ไกลกว่าก็เป็นได้นะคะ แต่ถ้างานนั้นอยู่ไกลไปหน่อย ก็ต้องลองคำนวณค่าใช้จ่ายดูก่อน ว่าเมื่อหักลบแล้วเราไหวไหม หรือสะดวกที่จะไปเช่าที่พัก หรือมีบ้านญาติที่สะดวกให้เราไปพักด้วยไหม . แต่ที่ยากยิ่งกว่าคือ งานไม่ยอมเลือกเรานี่สิ สมัครไปแล้วไม่ได้สักที อยากให้งานเลือกเราต้องทำไง ? สำคัญสุดคือเรซูเม่ค่ะ ถ้าเลือกสมัครงานโดยการใช้เรซูเม่ใบเดิมหว่านส่งไปรัว ๆ โอกาสแทบไม่มีเลยนะคะ เทคนิคที่ต้องทำทุกครั้งคือ อ่านประกาศให้จบอย่างละเอียด ถ้างานนั้นใช่เลย เรานี่แหละมีความสามารถตรงตามที่เขาประกาศ อย่าเก็บไว้คนเดียวค่ะ ต้องโชว์มันออกมาให้ HR เห็นในเรซูเม่ด้วย ก่อนจะส่งต้องตรวจสอบก่อนว่าเราโชว์คุณสมบัตินั้นลงเรซูเม่รึยัง ถ้ายัง ต้องปรับแก้ให้ตรงตามที่เขาประกาศก่อน . และที่ย้ำอยู่เสมอเลยคือ งานของแต่ละบริษัทต่างกำหนดคุณสมบัติไม่เหมือนกัน เทคนิคข้างต้นนี้สำหรับใช้สมัคร 1 บริษัทเท่านั้นนะคะ ต้องปรับเรซูเม่ให้ตรงความต้องการของเขาก่อนแล้วค่อยส่งไป แต่สิ่งที่ระบุต้องเป็นคุณสมบัติความสามารถที่เรามีจริงเท่านั้นนะคะ ในบางตำแหน่งงานที่ดูว่าตรงกับสายเรา แต่คุณสมบัติที่เขากำหนด เราอาจจะไม่มีก็ได้ เช่น บริษัท B รับสมัคร การตลาดออนไลน์ ต้องมีทักษะการพูดภาษาจีน แล้วถ้าเราใช้เรซูเม่ที่โชว์เฉพาะความสามารถด้านการตลาดซึ่งเคยใช้ส่งกับบริษัท A มาส่งกับบริษัท B โอกาสก็ศูนย์อยู่ดี เว้นแต่ว่า เราจะพูดจีนได้แล้วระบุลงในเรซูเม่ด้วย . สรุปแล้วการหว่านเรซูเม่ที่เพิ่มโอกาสให้ได้งานเร็วขึ้นจริง คือต้องเจองานที่ใช่แล้วปรับเรซูเม่ให้ตรงและหว่านไป 1 ใบต่อ 1 บริษัท เว้นแต่ว่า เจอ 2 บริษัทที่กำหนดคุณสมบัติเหมือนกัน อันนี้ใช้ใบเดิมได้ค่ะ แต่มันเป็นไปได้ยากมากเลยนะคะที่จะเจอแบบนี้ .  ข้อมูลสำคัญที่มีผลต่อการพิจารณาเรียกสัมภาษณ์มากที่สุด คือ “ประสบการณ์” เพราะเป็นส่วนที่สร้างความน่าเชื่อถือและยืนยันในความสามารถของผู้สมัคร นอกจากข้อมูลบริษัท ระยะเวลาและตำแหน่งที่เคยทำงาน ซึ่งต้องระบุให้ครบ ถูกต้องและชัดเจน แต่ที่หลายคนตกม้าตายก็เพราะการระบุหน้าที่ความรับผิดชอบแบบสั้น ๆ จนหาความน่าสนใจไม่เจอแม้แต่นิดเดียว   .. ขอยกตัวอย่างนะครับ ระหว่าง นาย ก เขียนข้อมูลด้านทักษะในเรซูเม่ว่า มีทักษะการออกแบบ และเขียนข้อมูลประสบการณ์ทำงานแค่ว่า เคยทำงานในตำแหน่ง Graphic Designer หน้าที่ความรับผิดชอบคือ ออกแบบสื่อโฆษณา . จบ นาย ข มีทักษะด้านการออกแบบเหมือนกัน มีประสบการณ์ในตำแหน่งงานเดียวกัน แต่เขียนหน้าที่ความรับผิดชอบ คือ 1. ออกแบบสื่อโฆษณาสำหรับประชาสัมพันธ์สินค้าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพลงใน Facebook และ IG โดยใช้โปรแกรม Photoshop 2. ร่วมออกแบบหน้าเว็บไซต์ของบริษัทธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพกับ UX/UI Designer โดยใช้โปรแกรม Adobe Illustrator  3. ร่วมวิเคราะห์งานกับทีม Content Marketing เกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าในการมีส่วนร่วมกับ Content มากที่สุด เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาการออกแบบสื่อโฆษณาให้มีความน่าสนใจมากขึ้น   แม้ 2 ท่านนี้จะมีทักษะการออกแบบเหมือนกัน แต่การระบุแบบนาย ก ก็ไม่รู้เลยว่า ออกแบบอะไร,ใช้เครื่องมืออะไรทำงานได้บ้าง  ส่วนนาย ข เห็นทักษะความสามารถชัดเจนเลย แถมยังเห็นกระบวนการทำงานเป็นทีมที่แสดงให้เห็นว่ามีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Soft Skills) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกตำแหน่งงานต้องมีอีกด้วย   และถ้าคุณเป็น HR คงเลือกได้ทันทีเลยใช่ไหมครับ ว่าต้องรีบโทรนัดสัมภาษณ์ใคร !! อยากบอกว่า ตัวอย่างของนาย ข  3 ข้อด้านบน คือเทคนิคการเขียนประสบการณ์เลยครับ จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรยาก ไม่ต้องกังวลเลยครับว่าเขียนไปจะผิดหรือถูก เรื่องนี้มันอยู่ที่ว่า คุณจะลงรายละเอียดงานออกมาได้มากแค่ไหน คีย์สำคัญก็คือ ควรเขียนเป็นข้อ ๆ เพื่อให้ HR อ่านง่าย เคยทำอะไรบ้างเอาออกมาโชว์ให้หมด แต่ต้องระบุให้ชัดเจนว่างานที่ทำ คืออะไร ,สำหรับอะไร ,โดยใช้เครื่องมือใด และเรซูเม่จะโดดเด่นมากขึ้น ถ้าระบุไปถึงกระบวนการทำงาน ว่ามีวิธีทำงานอย่างไร ทำเพื่ออะไรและมีวิธีพัฒนาอย่างไรให้งานดีขึ้น (เหมือนตัวอย่างนาย ข ที่มีการวิเคราะห์งานกับทีม Content Marketing) แบบนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถแล้ว ยังเห็นด้วยว่าคุณเข้าใจการทำงานเป็นทีมและใส่ใจในงานที่ทำ ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ใคร ๆ ก็ต้องการรับเข้าทำงาน   ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า ควรระบุความสามารถที่โดดเด่นไว้ข้อบน ๆ นะครับ เพราะนั่นคือทักษะหลักของการทำงานในตำแหน่งที่คุณสมัคร และอีกประเด็นสำคัญก็คือ อาจมี HR บางท่านอ่านไม่จบ และถ้าเห็นในข้อบนว่าคุณมีเพียงทักษะรอง (แต่เขาต้องหาคนที่โดดเด่นในทักษะหลัก) เขาอาจไม่สนใจอ่านข้อมูลในข้อต่อไป เรซูเม่ของคุณอาจไม่มีโอกาสเลยก็เป็นได้   และถ้า HR โทรมานัดสัมภาษณ์แล้ว ก่อนวันสัมภาษณ์ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุดด้วยนะครับ
Read More

ประกันสังคมยืนยันชดเชยทุกมาตราหากติดโควิด-19

สำนักงานประกันสังคม ยืนยัน พร้อมจ่ายเงินชดเชย ให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 โดยมีเงื่อนไข คือ • ผู้ประกันตนมาตรา 33 กรณีลาป่วย รับค่าจ้าง 30 วันแรกจากนายจ้าง แต่หากหยุดรักษาตัวเกิน 30 วัน สามารถเบิกสิทธิประโยชน์กรณีขาดรายได้จากประกันสังคม นับตั้งแต่วันที่ 31 ของการลาป่วย โดยได้รับเงินทดแทนร้อยละ 50 ของค่าจ้างจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน เว้นแต่โรคเรื้อรังไม่เกิน 365 วัน • ผู้ประกันตนมาตรา 39 รับเงินทดแทน ขาดรายได้ร้อยละ 50 โดยคิดจากฐานอัตราการนำส่งเงินสมทบ 4,800 บาท ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน เว้นแต่โรคเรื้อรังไม่เกิน 365 วัน ยื่นแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน • สำหรับส่วนผู้ประกันตนมาตรา 40 ต้องนำส่งสมทบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 4 เดือน ก่อนเดือนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย พิจารณาจากเอกสารหลักฐานและใบรับรองแพทย์ ยื่นแบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สำหรับผู้ประกันตนที่มีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สายด่วนประกันสังคม 1506 กด 6 หรือ 7 ข้อมูลจาก : สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
Read More
Top