Blog

Work From Home ให้โดนใจเจ้านาย 4 ข้อที่ต้องทำ

จากบทความก่อนเราพูดถึงคนที่ทำให้เจ้านายปวดใจมากที่สุด คือคนที่ Work From Home แบบชิวๆ และจะกลายเป็นคนที่ต้องปลิวจากองค์กรไปในไม่ช้า

บทความนี้ JOBBKK จะขอพูดถึงคนที่ Work From Home อย่างตั้งใจมาตลอด แต่ไม่แน่ใจเท่าไรว่าเจ้านายจะเห็นถึงความตั้งใจรึเปล่า ?

 

จากสถานการณ์นี้ ทุกคนต่างต้องการกำลังใจ และด้วยจำนวนพนักงานแต่ละองค์กรอาจมีหลายคน การ Work From Home เจ้านายไม่สามารถควบคุมได้หมดอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องของใจล้วนๆ ซึ่งจริงๆ เจ้านายก็อยากได้จากทุกคนนั่นแหละ แต่อาจเป็นไปได้น้อยมาก

และในเมื่อคุณก็คือคนหนึ่งที่ให้ใจกับงาน สามารถเป็นกำลังใจให้เจ้านายได้ คุณก็ต้องส่งไปให้เขาด้วย เราจะได้เป็นกำลังใจให้กันและมีพลังที่พร้อมผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันมากขึ้น

 

4 ข้อง่ายๆ นี้ นอกจากจะเป็นการส่งใจให้โดนใจเจ้านาย ยังสามารถเพิ่มคุณภาพให้งานและตัวคุณก็จะได้พัฒนาด้วย มีดังนี้ครับ

 

 

ห้ามป่วย ห้ามอู้ ห้ามโกหกเจ้านาย

ต้องอยู่บ้านและดูแลตัวเองให้แข็งแรง ถ้าต้องออกข้างนอกก็ต้องป้องกันให้ดีที่สุด ส่วนช่วงเวลางานกับการ Work From Home เมื่อไม่มีหัวหน้าหรือเจ้านายมาเห็นว่าทำอะไร คุณเท่านั้นที่ต้องมีวินัยและซื่อสัตย์ในหน้าที่ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าต้องเข้างาน 8 โมง แต่ตื่น 9 โมง กว่าจะเริ่มงานได้ก็เกือบ 10 โมง งานก็เดินช้าไปเกือบ 2 ชั่วโมง

 

ช่วงวิกฤติแบบนี้ ทุกนาทีมีค่ามากๆ มันคือความอยู่รอดของคุณและองค์กร ที่สำคัญอย่าพยายามหาวิธีเพื่อโกหก พอให้เห็นว่าคุณทำงาน เช่น ตื่นมาตอบไลน์ว่ากำลังดำเนินงานตอน 8 โมงแล้วนอนต่อ สุดท้ายงานก็ไม่เสร็จ

แต่ถ้าคุณตั้งใจ มีงานส่งครบตรงเวลา ถึงแม้จะยังอยู่ในเวลางาน คุณก็พักได้ จะเล่น FB ดูหนัง ฟังเพลงก็ว่าไป แต่ก็ต้อง Stand by ตลอดที่อยู่ในช่วงเวลางาน

 

 

2 รายงานทุกวัน ทำ-เห็น-ปรับปรุงอะไร

ไม่ใช่บอกแค่ว่าแต่ละวันทำอะไร แต่ต้องบอกด้วยว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร เจอปัญหาอะไร หรือถ้าได้ผลตอบรับที่ดีแล้วจะปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไรบ้าง

ทำรายงานส่งให้เจ้านายหรือหัวหน้าทราบทุกวันเลย มันจะช่วยให้คุณกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น เพราะถ้าไม่ทำ ก็จะไม่มีอะไรเขียนในรายงาน

 

อีกอย่างคือ เมื่อเห็นผลลัพธ์และปัญหา คุณจะได้คิดหาวิธีในการทำงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและได้หาวิธีแก้ปัญหาให้หมดไปได้เร็วขึ้นด้วย เพราะคุณเห็นทุกวัน แล้วแนวคิดเหล่านี้ก็สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนางานของคุณได้มากขึ้นในอนาคตด้วย

 

เช่น คุณอยู่ฝ่ายการตลาดในองค์กรประเภทธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีหน้าที่ในการทำ Content ประชาสัมพันธ์สินค้าให้มียอดสั่งซื้อทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

คุณได้ทำการเพิ่มโพสต์ Content รายการอาหารไปตอน 4 ทุ่ม เพราะมองว่าเป็นช่วงที่ทุกคนต้องอยู่บ้านและคิดว่าช่วงนี้มีคนจำนวนมากที่เล่น Facebook ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็มีลูกค้าสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าและมีเข้ามาสั่งในช่วงเช้าของวันต่อมาเพิ่มขึ้นด้วย

ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมว่า เขามีความต้องการที่จะเห็นเมนูอาหารล่วงหน้าในแต่ละมื้อ และการโพสต์ในช่วงเวลาดึก จะทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ทำให้เกิดการติดตามสินค้าและสั่งซื้อเพิ่มขึ้น

ดังนั้น เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้นอีก ก็ต้องเลือกช่วงเวลาในการโพสต์ก่อนเวลาอาหารในแต่ละมื้อ เช่น มื้อเช้า โพสต์ในช่วง 3 – 4 ทุ่ม  มื้อเที่ยง โพสต์ช่วง 9 โมงหรือ 10 โมง และมื้อเย็น โพสต์ช่วงบ่าย 3 หรือบ่าย 4 แต่ก็ต้องติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาช่วงเวลาที่จะเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

3 TeamWork 100 %

งานจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทีม ตอนทำงานที่ออฟฟิศอาจไม่มีเวลาวางแผนในการติดตามงานของทีมเท่าไร ไม่ได้ Teamwork แบบเต็ม100 สักที เดี๋ยวคนนั้นยุ่ง คนนี้งานแทรกอีกมากมาย ทำให้งานเสร็จไม่ตรงเวลา ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ดีเท่าที่ควร

 

แต่เมื่อ Work From Home ต้องมีแผนและทำตามแผนให้ได้ ต้องมี Teamwork 100% กำหนดไว้เลย ถ้าต้องการงานเวลานี้ ต้องตามงานกับคนที่รับผิดชอบล่วงหน้าอย่างน้อยเท่าไร เช่น ต้องโพสต์ Content  ตอน 10 โมง Artwork ต้อง Approved ก่อน 9 โมง ก็ต้องมีงานส่งมาให้ดูก่อนล่วงหน้า 1 วัน อาจเป็นช่วงเย็นก่อนเลิกงานสัก 1 ชั่วโมง เพื่อเผื่อเวลา  prove    

แต่ถ้าเกิดมีปัญหาในการติดตามงานของคนในทีม ก็ต้องแจ้งในรายงานประจำวัน เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วย

 

 

4 ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

เวลานี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง แล้วทำอะไรได้บ้างที่สอดคล้องกับสถานการณ์และเป็นประโยชน์

เช่น เมื่อเห็นว่ามีการแพร่ระบาดของ COVID – 19 ที่เพิ่มขึ้น ในฐานะที่คุณเป็นการตลาดขององค์กรอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากประชาสัมพันธ์สินค้า คุณอาจทำ Content เกี่ยวกับความรู้เรื่องการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและช่วยต้านไวรัส ซึ่งเป็นความรู้ที่มีประโยชน์กับทุกคนเลย ไม่ใช่เฉพาะลูกค้า และความตั้งใจที่คุณทำเต็มที่ ความจริงใจที่คุณมอบให้กับทุกคน จะส่งผลให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย

 

 

แค่ 4 ข้อ คุณทำได้อยู่แล้วครับ รับรองว่าเจ้านายปลื้มมาก แถมได้ฝึกวินัยให้กับตัวเอง และยังได้ข้อมูลพร้อมทักษะต่างๆ ที่สามารถนำไปพัฒนางานต่อไปได้ด้วย

 

แล้วในอนาคต ไม่ว่าจะต้องเจออะไร จะหนักแค่ไหน คุณก็จะผ่านมันไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอนครับ

 

 

คลิกดูอัปเดตงานใหม่กว่า 585,054 อัตรา 

 

คลิกหางานด่วน

 

คลิก Job Fair Online ครั้งที่ 1 ธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม 

 

คลิก Job Fair Online Urgent อัปเดตงานด่วน ช่วงวิกฤติขาดแรงงานกว่า 800 อัตรา

 

คลิก สมัครเรซูเม่ด่วน

  • Share :

Article

5การเสี่ยงในชีวิตการทำงานที่คุณควรลองทำดู

การเสี่ยงคงเป็นเรื่องที่พูดให้ลองก็เหมือนจะง่ายแต่ทำจริงๆ ก็คงจะยากอยู่เหมือนกัน ผมเองเขียนเรื่องการพัฒนาตัวเองซึ่งประเด็นว่าด้วยการเสี่ยงก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ แต่ก็ใช่ว่าทำได้ง่ายๆ และพอมาเป็นเรื่องของหน้าที่การงานหรือการตัดสินใจในการทำงานก็จะยิ่งแล้วใหญ่ (เพราะมันก็เกี่ยวกับอนาคตของคนเลยก็ว่าได้) วันก่อนผมก็ไปอ่านบทความของ The Muse ว่าด้วยการเสี่ยง (หรือการตัดสินใจ) บางอย่างในการทำงานซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงอยู่มาก แต่ก็เป็นเรื่องที่คุณควรจะลองเสี่ยงอยู่เหมือนกัน (ในบทความถึงกับใช้คำว่าถ้าคุณไม่เสี่ยงจะเสียใจเลยทีเดียว) เลยขอหยิบเอาแนวคิดจากบทความนั้นมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นไอเดียให้พิจารณาแล้วกันนะครับ 1. จ้างหรือให้โอกาสคนที่ไม่น่าจ้าง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าคุณควรเลือกคนประเภทสุดขั้วชนิดไม่ควรเอามาทำงานหรอกนะครับ แต่มันหมายถึงการลองมองเห็นความสามารถของคนมากไปกว่า Resume ที่ส่งเข้ามาให้คุณกรองต่างหาก เรื่องนี้มีสถิติน่าสนใจเพราะ Jeff Harden ซึ่งเป็นคนเขียนบทความนั้นทำแบบสอบถามบรรดาผู้ประกอบการต่างๆ ซึ่งก็พบว่าหนึ่งในบรรดาลูกจ้างที่โดดเด่นชนิดเป็นเพชรของบริษัทคือคนประเภทที่ตอนสมัครนั้นไม่ใช่พวกที่ตรงกับ Qualification เลย เรื่องความสามารถของพนักงานนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าคิดอยู่พอสมควร เพราะคนส่วนใหญ่มักมองเรื่องทักษะและประสบการณ์เป็นส่วนสำคัญในการคัดเลือก ทำให้เรามักมองหาคนจากประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน แต่หลายๆ ทีเราจะเจอคนเก่งๆ ที่ประสบการณ์ยังน้อยแต่เต็มไปด้วย “ไหวพริบ” “ทัศนคติ” และ “วิสัยทัศน์” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากประวัติการทำงานเลย และนี่อาจจะเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่คุณอาจจะต้องคิดกันเสียหน่อยเวลาหาคนมาทำงานให้กับองค์กรของคุณครั้งต่อไปล่ะ 2. ขอโทษกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้น บางครั้งเรามักจะเจอสถานการณ์ที่ได้ทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ไปจนประเภทอยากจะมุดดินหนี ไม่กล้าที่จะขอโทษเพราะมันจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์หรือประวัติของเราแย่ แต่ก็อีกนั่นแหละที่บางครั้งการขอโทษอาจจะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็ได้ (อันที่จริงการขอโทษไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใดเลยด้วยซ้ำ) แม้ว่าการยอมรับความผิดพลาดนั้นจะทำให้คุณดูแย่ในสายตาหลายๆคน จะทำให้คุณต้องพบกับความอับอาย แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้คุณไม่ได้รับผิดมันก็แย่อยู่แล้ว การที่คุณกล้าเสี่ยงขอโทษนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้ตัวคุณหลุดจากบ่วงหรือความอึดอัดหลายอย่างได้ในภายหลัง ผมลองคิดๆดูแล้ว ชีวิตคนเรามีหลายสิ่งที่เป็นความทรงจำฝังใจ และมันมักทำให้เรารู้สึกจี๊ดใจเวลานึกถึงอยู่เหมือนแผลที่ไม่เคยถูกรักษา ซึ่งมันก็อาจจะดีกว่าถ้าคุณต้องเจ็บสักครั้งแต่ทำให้แผลนั้นหายหรือไม่ติดค้างอะไรอีกต่อไปนั่นแหละ 3. เผชิญหน้ากับสิ่งที่คุณกลัวที่สุด คนเราล้วนมีความกลัว ล้วนมีบางเรื่องที่รู้สึกไม่มั่นใจเป็นเรื่องธรรมดา การงานก็เช่นกันที่คุณจะมีงานที่คุณกลัวที่จะทำ หรือกับสายงานที่คุณลำบากใจหากต้องไปยุ่ง แต่ก็อย่างว่าแหละครับว่าในบรรดาสิ่งที่คุณกลัวหรือคุณไม่กล้าเผชิญนั้นก็ย่อมแฝงไว้ด้วยโอกาสซึ่งคุณไม่เคยเข้าไปแตะต้องมัน และถ้าคุณกล้าจะเสี่ยงไปเผชิญหน้าหรือลองทำมันแล้ว ดีไม่ดีมันจะออกมากลายเป็นว่าคุณได้โอกาสอย่างไม่น่าเชื่อเลยก็ได้ เรื่องนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งน่าคิดว่าคนทำงานเก่งๆนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่กลัว เพียงแต่เขารู้ว่าการอยู่กับความกลัวตลอดไปไม่น่าจะใช่คำตอบเสียทีเดียว พวกเขาเลยลองทำโน่นทำนี่ กล้าที่จะเสี่ยงกับบางอย่างใหม่ๆที่อาจจะไม่เคยทำ (และบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เขากลัวด้วย) และการที่เขาลองทำอะไรนี่แหละทำให้ศักยภาพของเขามากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆและสุดท้ายกลายเป็นว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากมายกว่าคนทั่วๆไปนั่นแหละครับ 4. ทำในสิ่งที่คุณอยากทำแม้ว่าจะไม่ตรงกับสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง เรามักเห็นบ่อยๆว่าไอเดียบรรเจิดๆของคนๆหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้นเป็นอะไรที่ “ผ่าเหล่า” บ้างก็ชนิดคนทั่วไปคงร้องยี้หรือเบือนหน้าหนี แน่นอนว่าปรกติแล้วคนรอบข้างคุณก็มักจะมีความเห็นหลายๆอย่างซึ่งก็จะมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคุณแต่ก็นั่นแหละที่ถ้าคุณเอาแต่ฟังคนอื่นเพื่อมาคอยคอนเฟิร์มคิดอยู่ตลอดก็คงจะไม่ใช่เรื่องเข้าท่าสักเท่าไร บางเรื่องเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกอยู่ลึกๆหรือเป็นประเภทที่ตัวตนของคุณร่ำร้องว่าต้องทำอย่างนั้น และคุณก็ควรจะลองเสี่ยงไปกับมันแทนที่จะรอฟังความเห็นคนอื่นๆ (ซึ่งก็มักจะเป็นตัวเบรกนั่นแหละ) ถ้าคุณรู้สึกกับอะไรมากๆหรือมีความฝันที่อยากทำในงาน ลองเสี่ยงกับมันบ้าง อย่าปล่อยให้การทำงานประสาคนออฟฟิศตีกรอบให้คุณไม่ได้ลงมือทำอะไรใหม่ๆ เลย 5. ให้ความช่วยเหลือคนอื่น ผมเชื่อว่าหลายๆคนมักจะเจอบรรยากาศประเภท “อย่าไปเสนอความคิดเห็นเลย ไม่ใช่เรื่องของเรา” อยู่บ่อยๆ และนั่นทำให้ในองค์กรมักเจอสถานการณ์พวกต่างคนต่างทำ แต่เอาจริงๆแล้วถ้าคุณรู้เรื่องบางเรื่องที่พอจะช่วยเหลือคนอื่นได้ มันก็คงไม่ได้แย่อะไรนักหรอกถ้าคุณจะยื่นมือเข้าไปช่วย หรือสนับสนุนคนอื่นๆ แม้ว่าเรื่องนั้นๆจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลยก็ตาม แน่นอนว่าการทำอย่างนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นพวกเสนอหน้า หรืออาจจะสร้างภาระให้กับตัวเอง แต่ในหลายๆครั้งที่คุณก้าวไปช่วยคนอื่นก็ทำให้คุณได้ผลประโยชน์ตามมาอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพ ตลอดไปจนความรู้บางอย่างที่คุณอาจจะไม่มีโอกาสได้รู้ถ้ายังคงง่วนอยู่กับงานตัวเองอย่างเดียวนั่นแหละครับ Credit:http://www.nuttaputch.com/5-risks-in-working-life-that-worth-to-take/
read more

วิธีสร้างความภูมิใจในการทำงาน

ความสุขในการทำงานของเรา จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากว่าเราไม่ได้มี “ความภูมิใจ” ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่มองข้ามไปไม่ได้เลยครับ เพราะนอกจากจะทำให้เราทำงานอย่างมีความสุขแล้ว ยังช่วยให้เราพรีเซนต์ตัวเองตอนสัมภาษณ์งานได้อย่างมั่นใจอีกด้วย ส่วนวิธีจะมีอะไรบ้างนั้น เราไปดูกันเลย... 1.ตั้งเป้าหมายในการทำงาน...ถือเป็นข้อแรกในการสร้างความภูมิใจเลยครับ เพราะหากไม่มีเป้าหมายกับงานที่ทำ ก็เหมือนกับการทำงานแลกเงินไปวัน ๆ พร้อมทั้งความสุขในการทำงานก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงไปด้วยนะ ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ลองตั้งเป้าหมายดูครับ อาจจะไม่ต้องยาวถึงอนาคตอันไหล แค่เป็นแบบโปรเจคไปก็เริ่มสร้างภูมิใจในการทำงานได้แล้วครับ 2. ทำอย่างเต็มที่...คงได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ว่าเหนื่อยมากยิ่งได้มาก การที่เราลงมือทำงานของเราอย่างสุดความสามารถนั้น เมื่องานสำเร็จเสร็จสิ้น พอมองย้อนกลับไปความภูมิใจก็จะเกิดขึ้นมาได้เหมือนกัน ยิ่งถ้าเป็นงานที่ยาก หรือการข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้ก็ยิ่งภูมิใจใช่ไหมครับ 3. ทำในสิ่งที่รัก...ไม่ว่าใครก็ต้องมีความฝัน หรือสิ่งที่อยากจะทำกันทั้งนั้น แม้ว่าบางทีจังหวะในชีวิตจะไม่เป็นใจก็ตาม  เพียงแต่เรายังมั่นคงกับสิ่งที่เรารัก สักวันเราจะต้องไปถึง และก้าวเดินไปกับสิ่งที่เรารักอย่างภาคภูมิใจแน่นอนครับ 4. การช่วยเหลือคนอื่น...แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำงานทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยคนเดียวครับ การที่เรารู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั้นจะทำให้งานออกมาดี แถมยังได้ภาคภูมิใจกับความสำเร็จนั้นไปด้วยกันกับทีมอีกด้วย 5.การเลี้ยงดูบุพการี ผ่อนภาระครอบครัว.....เมื่อเรามีรายได้ เราได้นำเงินส่วนนั้นมาจุนเจือครอบครัว หรือช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ลงไปบ้าง ทำให้ท่านเหนื่อยน้อยลง ไม่ต้องมีเราไปเป็นภาระค่าใช้จ่ายของท่านอีก นี่ก็เป็นการมองย้อนที่เราควรจะภูมิใจได้เป็นอย่างดีเลยครับทั้งนี้ทั้งนั้น ความภูมิใจในงานที่ทำ ต้องไม่เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นด้วยนะครับ จึงจะเรียกได้ว่า ภูมิใจอย่างแท้จริง ด้วยความปราถนาดีจาก jobbkk.com และสำหรับข่าวสารดี มีสาระ พร้อมกิจกรรม เพื่อนๆ สามารถติดตามพวกเราได้ที่Youtube: https://www.youtube.com/user/jobbkkdotcomJOBBKK Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/jobbkk
read more

สถานการณ์ปัจจุบันอันเกิดจากโรคระบาดประกันสังคมสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนเพิ่มเติมเพื่อลดความเดือดร้อนของผู้ประกันตนตามมาตรา33

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 ประกันสังคมเริ่มจ่ายเงินชดเชยกรณีว่างงาน ในอัตรา 62% ของค่าจ้างรายวัน ไม่เกิน 90 วัน เนื่องจากเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากโรคระบาดติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ.2563  สำหรับลูกจ้างผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือแรงงานที่มีนายจ้าง หลังจากได้ลงนามในกฎกระทรวงและประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 ซึ่งมีจำนวนผู้ได้รับเงินรอบแรกนี้ราว 8 พันคน ผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์มี 2 กรณี คือ 1 ผู้ประกันตนที่ไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ผู้ประกันตนมาทำงาน กักตัว 14 วัน เนื่องจากสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ COVID – 19 2 ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้ และไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ไม่ว่านายจ้างจะหยุดประกอบกิจการเอง หรือหยุดประกอบกิจการตามคำสั่งของราชการ ซึ่งทำให้ผู้ประกันตนไม่ได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้ คุณทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ย้ำว่า ผู้ประกันตนที่จะได้รับเงินชดเชยต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ต้องไม่ถูกเลิกจ้างหรือลาออก และไม่ได้รับเงินค่าจ้างจากนายจ้าง โดยนายจ้างต้องมารับรองด้วยว่าเป็นลูกจ้างจริง และให้ข้อมูลเรื่องช่วงเวลาที่มีการหยุดงาน ซึ่งข้อมูลของลูกจ้างและนายจ้างต้องตรงกัน ผู้ประกันตนสามารถยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนได้ 2 ช่องทาง คือ 1 ยื่นขอรับผ่านออนไลน์ทางเว็บไซต์ www.sso.go.th เข้าไปที่เมนู กรอกแบบฟอร์มขอรับประโยชน์ทดแทน คลิกที่นี่ !! จากนั้นคลิกที่เมนู แบบฟอร์มขอรับประโยชน์ กรณีว่างงาน (สำหรับลูกจ้าง/ผู้ประกันตน) ระบบจะมีลิงก์แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ขอรับประโยชน์ทดแทน กองทุนประกันสังคม กรณีว่างงาน (มาตรา 33 เท่านั้น) ให้คลิกเข้าไปกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน 2 ยื่นขอรับด้วยวิธีปกติ สามารถดาวน์โหลดแบบขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส.2-01/7) ได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th โดยพิมพ์แบบออกมากรอกข้อมูลพร้อมสำเนาหน้าบัญชีธนาคาร แล้วจัดส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ หรือส่งเอกสารทางโทรสาร (FAX) ของสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร/จังหวัด/สาขากำหนด   และนายจ้างต้องเข้าไปกรอกแบบฟอร์มผ่าน www.sso.go.th เช่นกัน โดยเลือกเมนู กรอกแบบฟอร์มขอรับประโยชน์ทดแทน คลิกที่นี่ !! และคลิกที่เมนู ยืนยันการหยุดงานของลูกจ้าง อันเนื่องจากเหตุสุดวิสัย (สำหรับนายจ้าง) จากนั้นจะมีลิงก์แบบหนังสือรับรองจากนายจ้าง เพื่อยืนยันการหยุดงานของลูกจ้าง เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ให้คลิกเข้าไปกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน หรือเลือกวิธีติดต่อกับสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร/จังหวัด/สาขากำหนด  ดูข้อมูลติดต่อสำนักงานได้ที่นี่ >> https://www.sso.go.th/eform_news/assets/sso-contacts.pdf ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิสามารถยื่นอุทธรณ์กับประกันสังคมได้ภายใน 30 วัน ขอบคุณข้อมูล : FB ไทยคู่ฟ้า (รัฐบาลไทย)  ,  www.sso.go.th
read more
Top