Blog

เหล้าเบียร์ขึ้นราคายกแผง มีนาคม “คอทองแดง” กระอัก

เหล้าเบียร์ขึ้นราคายกแผง มีนาคม “คอทองแดง” กระอัก

“เหล้า-เบียร์” จ่อขยับราคายกแผง คาดดีเดย์ต้นมีนาฯ อ้างสุดทนเหตุต้นทุนพุ่ง สุดอั้นแบกภาระ “ขวด-กระป๋อง-โลจิสติกส์” ไม่ไหว ค่ายยักษ์ไทยเบฟฯส่งเหล้าขาวกรุยทาง คาดเหล้าสีตามมาอีกในไม่ช้า “ไฮเนเก้น-สิงห์-ลีโอ” จ่อขยับตาม ยี่ปั๊วซาปั๊วเร่งสต๊อกจ้าละหวั่น โรงงานผลิตไม่ทัน

 

เหล้าขาวขึ้นราคากรุยทาง

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทผู้ค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ภาคอีสานเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสุรารายใหญ่ได้เริ่มทยอยแจ้งการปรับขึ้นราคาสินค้าไปยังคู่ค้ารายต่าง ๆ โดยเริ่มจากกลุ่มสุราขาว โดยในส่วนของสุราขาวขวดเล็กปรับขึ้นอีก 120 บาท/ลัง (24 ขวด) จากเดิมประมาณ 1,242 บาท โดยราคาใหม่นี้จะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้เป็นต้นไป ส่วนสุราขาวขวดใหญ่ปรับขึ้นอีกลังละ 54 บาท/ลัง (12 ขวด) จากเดิมที่ราคาอยู่ที่ระดับ 1,158 บาท ซึ่งมีผลตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

หลังจากเหล้าเบียร์ขึ้นราคาแล้ว ส่วนราคาปลายทางถึงผู้บริโภคจะปรับขึ้นเป็นเท่าไหร่ ตอนนี้อาจจะยังไม่ชัดเจน อย่างน้อยที่สุดก็จะปรับตามราคาขายส่งที่เพิ่มขึ้น แต่ในทางปฏิบัติจริงการขายปลีกปลายทางอาจจะบวกขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เช่น เหล้าขาวราคาขายปลีกต่อขวดอาจจะต้องเพิ่มอีก 6-8 บาท หรือเบียร์อาจจะเพิ่มอีกกระป๋องละ 2-3 บาท

“ขณะนี้ตลาดเริ่มรับรู้การขึ้นราคาเหล้าขาวแล้ว และคาดว่าอีกไม่นาน เหล้าสีและเบียร์ก็คงจะมีการปรับขึ้นราคาตามมา เพราะปกติตลาดเหล้าเบียร์ก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเหล้าขาวขึ้นราคา เหล้าสี-เบียร์ก็จะขึ้นราคาตามมาในไม่ช้าตอนนี้ในตลาดเกิดความปั่นป่วนในระดับหนึ่ง เนื่องจากมียี่ปั๊วซาปั๊วหลาย ๆ รายที่เริ่มทยอยสั่งสินค้ามาสต๊อกไว้ บางรายก็เริ่มปรับขึ้นราคาสินค้าที่มีอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆขณะที่โรงงานบางโรงก็จะมีการกำหนดเพดานการซื้อ และจะรับออร์เดอร์โดยพิจารณาจากประวัติการสั่งซื้อและยอดขายประกอบ เพื่อไม่เปิดโอกาสให้เก็งกำไรกันมากนัก”

เช่นเดียวกับร้านค้าส่งเบียร์รายใหญ่ในจังหวัดปทุมธานีกล่าวในเรื่องนี้ หลังจากที่มีกระแสข่าวการปรับขึ้นราคาเหล้าเบียร์ออกมาเมื่อสัก 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายของร้านเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก บางช่วงถึงขนาดไม่มีของขาย โดยเฉพาะเบียร์ลีโอ แม้จะส่งออร์เดอร์ไปแต่โรงงานก็ไม่สามารถผลิตได้ทัน และมีการกำหนดเพดานการซื้อในแต่ละครั้ง

ขณะที่เจ้าของร้านยี่ปั๊วเหล้า-เบียร์รายหนึ่งย่านบางนา กรุงเทพฯ ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมากลุ่มสุราขาวได้มีการประกาศปรับราคาขึ้นดังกล่าวแล้ว แต่สำหรับในส่วนสุราสีของค่ายไทยเบฟฯ (แม่โขง แสงโสม หงส์ทอง มังกรทอง) หรือสุราผสม (เบลนด์ 285) ยังไม่ได้มีการแจ้งการปรับราคา

แต่ก็คาดว่าจะมีการแจ้งราคาใหม่มาในเร็ว ๆ นี้ และมีเพียง รีเจนซี่ (บริษัท โรงงานสุราพิเศษสุวรรณภูมิ) ที่ได้ทยอยปรับราคามาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เฉลี่ย 10 บาทต่อขวด

และล่าสุดได้รับแจ้งจากสายส่งว่าจะมีการปรับขึ้นอีกระลอกในสัปดาห์หน้า ประมาณ 10 บาท ซึ่งจะทำให้ตลอดช่วงเกือบ 1 เดือนนี้ รีเจนซี่มีการปรับขึ้นราคาแล้ว 30 บาท จากปัญหาต้นทุนการขนส่งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ส่วนเบียร์ ที่ผ่านมาก็ได้เริ่มมีการปรับราคากันไปบ้างแล้วในอัตราที่ไม่มากนัก เช่น อาชา และช้าง โคลด์ บรูว์ (บริษัทไทยเบฟเวอเรจ) และผู้บริโภคอาจจะไม่ค่อยรับรู้นัก เนื่องจากทั้ง 2 แบรนด์เป็นแบรนด์เล็ก ส่วนช้าง คลาสสิก ยังไม่ขึ้น แต่ก็คาดว่าจะมีการแจ้งปรับราคามาในเร็ว ๆ นี้”

ค่ายเบียร์แจงเหตุต้นทุนพุ่ง

นายปริญ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัดผู้ผลิตและจำหน่ายเบียร์ไฮเนเก้น, ไทเกอร์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เริ่มค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย แต่จากปัญหาเรื่องต้นทุนการดำเนินงานต่าง ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลก วัตถุดิบต่าง ๆ โดยเฉพาะมอลต์ที่เป็นวัตถุดิบหลักที่ต้องนำเข้า รวมทั้งแพ็กเกจจิ้ง (กระป๋อง) ขวดแก้ว ฯลฯ ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องมีการปรับขึ้นราคา อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นประเมินว่าการปรับขึ้นราคาครั้งนี้

แต่ละค่ายอาจจะปรับขึ้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยในเรื่องของต้นทุนและกลยุทธ์การตลาดของแต่ละค่ายเป็นสำคัญ โจทย์หลักของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปีนี้คือ การบริหารจัดการต้นทุนให้ดีที่สุด เพื่อยันราคาสินค้าให้นานที่สุด เพราะหากมีการปรับขึ้นราคามากเกินไปก็จะส่งผลกระทบกับยอดขายตามมาได้

“การปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นับจากนี้จะเป็นไปในทิศทางอย่างไรต่อไป หรือจะส่งผลกระทบต่อตลาดหรือไม่นั้น โดยส่วนตัวมองว่ายังเป็นเรื่องที่ยากจะประเมิน เพราะเรื่องของต้นทุนที่ยังไม่นิ่ง

ขณะที่ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อก็ยากที่จะคาดเดา ซึ่งคงต้องรอดูทิศทางอีก 3-6 เดือนข้างหน้าว่าปัจจัยลบต่าง ๆ เหล่านี้จะมีสถานการณ์เป็นเช่นไร ซึ่งหากราคาต้นทุนยังพุ่งสูงในระยะยาว แน่นอนว่าย่อมได้เห็นการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

แหล่งข่าวจากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเบียร์สิงห์ เบียร์ลีโอ กล่าวในเรื่องนี้เพียงสั้น ๆ ว่า ที่ผ่านมามีกระแสข่าวการปรับราคาเบียร์ในตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้สูง คาดการณ์ที่ค่ายเบียร์อาจจะต้องปรับราคาขึ้นบ้าง

เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้ประกอบการทุกค่ายประสบกับปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของราคาน้ำมัน ปัญหาการขาดแคลนกระป๋องทั่วโลกที่ทำให้ราคาแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละค่ายจะปรับขึ้นราคามากน้อยแค่ไหนนั้นยังไม่มีความชัดเจนนัก แต่คาดว่าน่าจะเป็นต้นเดือนมีนาคมเป็นต้นไป

คราฟต์เบียร์ไม่ขึ้นไม่ไหว

นายอาชิระวัสส์ วรรณศรีสวัสดิ์ กรรมการ บริษัท ไอเอสทีบี จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเบียร์คราฟต์เบียร์“ไลเกอร์” “อัลเลมองท์” กล่าวในเรื่องนี้ว่า ปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา รวมถึงค่าขนส่ง (ชิปปิ้ง) ที่ปรับสูงขึ้น 3-4 เท่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่กระทบไปทั่วโลก

ทำให้ต้นทุนการนำเข้าพุ่งขึ้นมากกว่า 10% และส่งผลต่อการนำเข้าคราฟต์เบียร์ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากสินค้าเดิมยังมีอยู่ในสต๊อกจำนวนหนึ่ง ผู้ประกอบการจึงยังไม่มีการปรับราคา แต่ปีนี้หากสินค้าดังกล่าวหมดลง และมีการนำเข้าสินค้าลอตใหม่ คาดกว่ากลุ่มคราฟต์เบียร์จะเริ่มทยอยปรับขึ้นราคา

“นอกจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวแล้วที่ผ่านมา ผู้นำเข้าคราฟต์เบียร์ยังต้องแบกรับภาระในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาท จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องมีการปรับขึ้นราคา ตอนนี้เริ่มเห็นสินค้าลอตใหม่ที่มีการทยอยปรับราคา บางแบรนด์ต้องปรับจาก 75 บาท เป็น 99 บาทแล้ว และหลาย ๆ แบรนด์ก็เตรียมจะทยอยปรับราคา ส่วนจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับต้นทุนจากแต่ละประเทศ”

ปรับราคายกแผง-เริ่มมีนาฯนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ มีความเคลื่อนไหวในการแจ้งปรับราคาไปยังคู่ค้าต่าง ๆ เช่น ไฮเนเก้น อาทิ ขวดใหญ่ ปรับขึ้นลังละ 48 บาท จากเดิม 805 เป็น 853 บาท ขณะที่กระป๋อง และขวดเล็ก ปรับขึ้นแพ็กละ 92 บาท จากเดิม 940 เป็น 1,032 บาท ส่วนกระป๋องยาว ปรับขึ้นแพ็กละ 49 บาท จากเดิม 690 บาท เป็น 739 บาท และไฮเนเก้น 0.0 (ไม่มีแอลกอฮอล์) ปรับขึ้นลังละ 70 บาท จากเดิม 830 เป็น 900 บาท และมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม เป็นต้นไป

โดยก่อนหน้านี้ ค่ายไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของเหล้าขาว-เหล้าสีรายใหญ่ และเบียร์ช้าง ได้แจ้งปรับราคา อาทิ ช้างโคลด์ บรูว์ จาก 620 บาท/ลัง เป็น 633 บาท เช่นเดียวกับถาด (24 กระป๋อง) ที่ปรับจาก 490 บาท เป็น 503 บาท ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังระบุว่า สำหรับในส่วนของช้าง คลาสสิก จะปรับราคาขึ้นช่วงต้นเดือนมีนาคม และจะมีการแจ้งราคาใหม่มาอีกครั้งหนึ่ง

จากการสำรวจร้านค้าส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายหนึ่งในย่านลาดพร้าวได้รับการยืนยันจากเจ้าของร้านว่า ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา (7-11 กุมภาพันธ์) บริษัทผู้จัดจำหน่ายกลุ่มสุราขาวรายใหญ่ได้มีการแจ้งการปรับขึ้นราคา อาทิ สุราขาวขวดใหญ่ (625 มล.) มีการปรับขึ้นราคาจาก 100 บาท เป็น 110 บาท เป็นต้น

ขอขอบคุณข่าวสารและบทความจาก : https://www.prachachat.net/marketing/news-868775 / ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

  • Share :

Article

5การเสี่ยงในชีวิตการทำงานที่คุณควรลองทำดู

การเสี่ยงคงเป็นเรื่องที่พูดให้ลองก็เหมือนจะง่ายแต่ทำจริงๆ ก็คงจะยากอยู่เหมือนกัน ผมเองเขียนเรื่องการพัฒนาตัวเองซึ่งประเด็นว่าด้วยการเสี่ยงก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ แต่ก็ใช่ว่าทำได้ง่ายๆ และพอมาเป็นเรื่องของหน้าที่การงานหรือการตัดสินใจในการทำงานก็จะยิ่งแล้วใหญ่ (เพราะมันก็เกี่ยวกับอนาคตของคนเลยก็ว่าได้) วันก่อนผมก็ไปอ่านบทความของ The Muse ว่าด้วยการเสี่ยง (หรือการตัดสินใจ) บางอย่างในการทำงานซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงอยู่มาก แต่ก็เป็นเรื่องที่คุณควรจะลองเสี่ยงอยู่เหมือนกัน (ในบทความถึงกับใช้คำว่าถ้าคุณไม่เสี่ยงจะเสียใจเลยทีเดียว) เลยขอหยิบเอาแนวคิดจากบทความนั้นมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นไอเดียให้พิจารณาแล้วกันนะครับ 1. จ้างหรือให้โอกาสคนที่ไม่น่าจ้าง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าคุณควรเลือกคนประเภทสุดขั้วชนิดไม่ควรเอามาทำงานหรอกนะครับ แต่มันหมายถึงการลองมองเห็นความสามารถของคนมากไปกว่า Resume ที่ส่งเข้ามาให้คุณกรองต่างหาก เรื่องนี้มีสถิติน่าสนใจเพราะ Jeff Harden ซึ่งเป็นคนเขียนบทความนั้นทำแบบสอบถามบรรดาผู้ประกอบการต่างๆ ซึ่งก็พบว่าหนึ่งในบรรดาลูกจ้างที่โดดเด่นชนิดเป็นเพชรของบริษัทคือคนประเภทที่ตอนสมัครนั้นไม่ใช่พวกที่ตรงกับ Qualification เลย เรื่องความสามารถของพนักงานนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าคิดอยู่พอสมควร เพราะคนส่วนใหญ่มักมองเรื่องทักษะและประสบการณ์เป็นส่วนสำคัญในการคัดเลือก ทำให้เรามักมองหาคนจากประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน แต่หลายๆ ทีเราจะเจอคนเก่งๆ ที่ประสบการณ์ยังน้อยแต่เต็มไปด้วย “ไหวพริบ” “ทัศนคติ” และ “วิสัยทัศน์” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากประวัติการทำงานเลย และนี่อาจจะเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่คุณอาจจะต้องคิดกันเสียหน่อยเวลาหาคนมาทำงานให้กับองค์กรของคุณครั้งต่อไปล่ะ 2. ขอโทษกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้น บางครั้งเรามักจะเจอสถานการณ์ที่ได้ทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ไปจนประเภทอยากจะมุดดินหนี ไม่กล้าที่จะขอโทษเพราะมันจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์หรือประวัติของเราแย่ แต่ก็อีกนั่นแหละที่บางครั้งการขอโทษอาจจะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็ได้ (อันที่จริงการขอโทษไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใดเลยด้วยซ้ำ) แม้ว่าการยอมรับความผิดพลาดนั้นจะทำให้คุณดูแย่ในสายตาหลายๆคน จะทำให้คุณต้องพบกับความอับอาย แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้คุณไม่ได้รับผิดมันก็แย่อยู่แล้ว การที่คุณกล้าเสี่ยงขอโทษนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้ตัวคุณหลุดจากบ่วงหรือความอึดอัดหลายอย่างได้ในภายหลัง ผมลองคิดๆดูแล้ว ชีวิตคนเรามีหลายสิ่งที่เป็นความทรงจำฝังใจ และมันมักทำให้เรารู้สึกจี๊ดใจเวลานึกถึงอยู่เหมือนแผลที่ไม่เคยถูกรักษา ซึ่งมันก็อาจจะดีกว่าถ้าคุณต้องเจ็บสักครั้งแต่ทำให้แผลนั้นหายหรือไม่ติดค้างอะไรอีกต่อไปนั่นแหละ 3. เผชิญหน้ากับสิ่งที่คุณกลัวที่สุด คนเราล้วนมีความกลัว ล้วนมีบางเรื่องที่รู้สึกไม่มั่นใจเป็นเรื่องธรรมดา การงานก็เช่นกันที่คุณจะมีงานที่คุณกลัวที่จะทำ หรือกับสายงานที่คุณลำบากใจหากต้องไปยุ่ง แต่ก็อย่างว่าแหละครับว่าในบรรดาสิ่งที่คุณกลัวหรือคุณไม่กล้าเผชิญนั้นก็ย่อมแฝงไว้ด้วยโอกาสซึ่งคุณไม่เคยเข้าไปแตะต้องมัน และถ้าคุณกล้าจะเสี่ยงไปเผชิญหน้าหรือลองทำมันแล้ว ดีไม่ดีมันจะออกมากลายเป็นว่าคุณได้โอกาสอย่างไม่น่าเชื่อเลยก็ได้ เรื่องนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งน่าคิดว่าคนทำงานเก่งๆนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่กลัว เพียงแต่เขารู้ว่าการอยู่กับความกลัวตลอดไปไม่น่าจะใช่คำตอบเสียทีเดียว พวกเขาเลยลองทำโน่นทำนี่ กล้าที่จะเสี่ยงกับบางอย่างใหม่ๆที่อาจจะไม่เคยทำ (และบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เขากลัวด้วย) และการที่เขาลองทำอะไรนี่แหละทำให้ศักยภาพของเขามากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆและสุดท้ายกลายเป็นว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากมายกว่าคนทั่วๆไปนั่นแหละครับ 4. ทำในสิ่งที่คุณอยากทำแม้ว่าจะไม่ตรงกับสิ่งที่คนอื่นคาดหวัง เรามักเห็นบ่อยๆว่าไอเดียบรรเจิดๆของคนๆหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้นเป็นอะไรที่ “ผ่าเหล่า” บ้างก็ชนิดคนทั่วไปคงร้องยี้หรือเบือนหน้าหนี แน่นอนว่าปรกติแล้วคนรอบข้างคุณก็มักจะมีความเห็นหลายๆอย่างซึ่งก็จะมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคุณแต่ก็นั่นแหละที่ถ้าคุณเอาแต่ฟังคนอื่นเพื่อมาคอยคอนเฟิร์มคิดอยู่ตลอดก็คงจะไม่ใช่เรื่องเข้าท่าสักเท่าไร บางเรื่องเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกอยู่ลึกๆหรือเป็นประเภทที่ตัวตนของคุณร่ำร้องว่าต้องทำอย่างนั้น และคุณก็ควรจะลองเสี่ยงไปกับมันแทนที่จะรอฟังความเห็นคนอื่นๆ (ซึ่งก็มักจะเป็นตัวเบรกนั่นแหละ) ถ้าคุณรู้สึกกับอะไรมากๆหรือมีความฝันที่อยากทำในงาน ลองเสี่ยงกับมันบ้าง อย่าปล่อยให้การทำงานประสาคนออฟฟิศตีกรอบให้คุณไม่ได้ลงมือทำอะไรใหม่ๆ เลย 5. ให้ความช่วยเหลือคนอื่น ผมเชื่อว่าหลายๆคนมักจะเจอบรรยากาศประเภท “อย่าไปเสนอความคิดเห็นเลย ไม่ใช่เรื่องของเรา” อยู่บ่อยๆ และนั่นทำให้ในองค์กรมักเจอสถานการณ์พวกต่างคนต่างทำ แต่เอาจริงๆแล้วถ้าคุณรู้เรื่องบางเรื่องที่พอจะช่วยเหลือคนอื่นได้ มันก็คงไม่ได้แย่อะไรนักหรอกถ้าคุณจะยื่นมือเข้าไปช่วย หรือสนับสนุนคนอื่นๆ แม้ว่าเรื่องนั้นๆจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลยก็ตาม แน่นอนว่าการทำอย่างนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นพวกเสนอหน้า หรืออาจจะสร้างภาระให้กับตัวเอง แต่ในหลายๆครั้งที่คุณก้าวไปช่วยคนอื่นก็ทำให้คุณได้ผลประโยชน์ตามมาอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพ ตลอดไปจนความรู้บางอย่างที่คุณอาจจะไม่มีโอกาสได้รู้ถ้ายังคงง่วนอยู่กับงานตัวเองอย่างเดียวนั่นแหละครับ Credit:http://www.nuttaputch.com/5-risks-in-working-life-that-worth-to-take/
read more

วิธีสร้างความภูมิใจในการทำงาน

ความสุขในการทำงานของเรา จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากว่าเราไม่ได้มี “ความภูมิใจ” ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่มองข้ามไปไม่ได้เลยครับ เพราะนอกจากจะทำให้เราทำงานอย่างมีความสุขแล้ว ยังช่วยให้เราพรีเซนต์ตัวเองตอนสัมภาษณ์งานได้อย่างมั่นใจอีกด้วย ส่วนวิธีจะมีอะไรบ้างนั้น เราไปดูกันเลย... 1.ตั้งเป้าหมายในการทำงาน...ถือเป็นข้อแรกในการสร้างความภูมิใจเลยครับ เพราะหากไม่มีเป้าหมายกับงานที่ทำ ก็เหมือนกับการทำงานแลกเงินไปวัน ๆ พร้อมทั้งความสุขในการทำงานก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงไปด้วยนะ ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ลองตั้งเป้าหมายดูครับ อาจจะไม่ต้องยาวถึงอนาคตอันไหล แค่เป็นแบบโปรเจคไปก็เริ่มสร้างภูมิใจในการทำงานได้แล้วครับ 2. ทำอย่างเต็มที่...คงได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ว่าเหนื่อยมากยิ่งได้มาก การที่เราลงมือทำงานของเราอย่างสุดความสามารถนั้น เมื่องานสำเร็จเสร็จสิ้น พอมองย้อนกลับไปความภูมิใจก็จะเกิดขึ้นมาได้เหมือนกัน ยิ่งถ้าเป็นงานที่ยาก หรือการข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้ก็ยิ่งภูมิใจใช่ไหมครับ 3. ทำในสิ่งที่รัก...ไม่ว่าใครก็ต้องมีความฝัน หรือสิ่งที่อยากจะทำกันทั้งนั้น แม้ว่าบางทีจังหวะในชีวิตจะไม่เป็นใจก็ตาม  เพียงแต่เรายังมั่นคงกับสิ่งที่เรารัก สักวันเราจะต้องไปถึง และก้าวเดินไปกับสิ่งที่เรารักอย่างภาคภูมิใจแน่นอนครับ 4. การช่วยเหลือคนอื่น...แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำงานทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยคนเดียวครับ การที่เรารู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั้นจะทำให้งานออกมาดี แถมยังได้ภาคภูมิใจกับความสำเร็จนั้นไปด้วยกันกับทีมอีกด้วย 5.การเลี้ยงดูบุพการี ผ่อนภาระครอบครัว.....เมื่อเรามีรายได้ เราได้นำเงินส่วนนั้นมาจุนเจือครอบครัว หรือช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ลงไปบ้าง ทำให้ท่านเหนื่อยน้อยลง ไม่ต้องมีเราไปเป็นภาระค่าใช้จ่ายของท่านอีก นี่ก็เป็นการมองย้อนที่เราควรจะภูมิใจได้เป็นอย่างดีเลยครับทั้งนี้ทั้งนั้น ความภูมิใจในงานที่ทำ ต้องไม่เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นด้วยนะครับ จึงจะเรียกได้ว่า ภูมิใจอย่างแท้จริง ด้วยความปราถนาดีจาก jobbkk.com และสำหรับข่าวสารดี มีสาระ พร้อมกิจกรรม เพื่อนๆ สามารถติดตามพวกเราได้ที่Youtube: https://www.youtube.com/user/jobbkkdotcomJOBBKK Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/jobbkk
read more

สถานการณ์ปัจจุบันอันเกิดจากโรคระบาดประกันสังคมสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนเพิ่มเติมเพื่อลดความเดือดร้อนของผู้ประกันตนตามมาตรา33

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 ประกันสังคมเริ่มจ่ายเงินชดเชยกรณีว่างงาน ในอัตรา 62% ของค่าจ้างรายวัน ไม่เกิน 90 วัน เนื่องจากเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากโรคระบาดติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ.2563  สำหรับลูกจ้างผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือแรงงานที่มีนายจ้าง หลังจากได้ลงนามในกฎกระทรวงและประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 ซึ่งมีจำนวนผู้ได้รับเงินรอบแรกนี้ราว 8 พันคน ผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์มี 2 กรณี คือ 1 ผู้ประกันตนที่ไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ผู้ประกันตนมาทำงาน กักตัว 14 วัน เนื่องจากสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ COVID – 19 2 ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้ และไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ไม่ว่านายจ้างจะหยุดประกอบกิจการเอง หรือหยุดประกอบกิจการตามคำสั่งของราชการ ซึ่งทำให้ผู้ประกันตนไม่ได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้ คุณทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ย้ำว่า ผู้ประกันตนที่จะได้รับเงินชดเชยต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ต้องไม่ถูกเลิกจ้างหรือลาออก และไม่ได้รับเงินค่าจ้างจากนายจ้าง โดยนายจ้างต้องมารับรองด้วยว่าเป็นลูกจ้างจริง และให้ข้อมูลเรื่องช่วงเวลาที่มีการหยุดงาน ซึ่งข้อมูลของลูกจ้างและนายจ้างต้องตรงกัน ผู้ประกันตนสามารถยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนได้ 2 ช่องทาง คือ 1 ยื่นขอรับผ่านออนไลน์ทางเว็บไซต์ www.sso.go.th เข้าไปที่เมนู กรอกแบบฟอร์มขอรับประโยชน์ทดแทน คลิกที่นี่ !! จากนั้นคลิกที่เมนู แบบฟอร์มขอรับประโยชน์ กรณีว่างงาน (สำหรับลูกจ้าง/ผู้ประกันตน) ระบบจะมีลิงก์แบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ขอรับประโยชน์ทดแทน กองทุนประกันสังคม กรณีว่างงาน (มาตรา 33 เท่านั้น) ให้คลิกเข้าไปกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน 2 ยื่นขอรับด้วยวิธีปกติ สามารถดาวน์โหลดแบบขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส.2-01/7) ได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th โดยพิมพ์แบบออกมากรอกข้อมูลพร้อมสำเนาหน้าบัญชีธนาคาร แล้วจัดส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ หรือส่งเอกสารทางโทรสาร (FAX) ของสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร/จังหวัด/สาขากำหนด   และนายจ้างต้องเข้าไปกรอกแบบฟอร์มผ่าน www.sso.go.th เช่นกัน โดยเลือกเมนู กรอกแบบฟอร์มขอรับประโยชน์ทดแทน คลิกที่นี่ !! และคลิกที่เมนู ยืนยันการหยุดงานของลูกจ้าง อันเนื่องจากเหตุสุดวิสัย (สำหรับนายจ้าง) จากนั้นจะมีลิงก์แบบหนังสือรับรองจากนายจ้าง เพื่อยืนยันการหยุดงานของลูกจ้าง เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ให้คลิกเข้าไปกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน หรือเลือกวิธีติดต่อกับสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร/จังหวัด/สาขากำหนด  ดูข้อมูลติดต่อสำนักงานได้ที่นี่ >> https://www.sso.go.th/eform_news/assets/sso-contacts.pdf ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิสามารถยื่นอุทธรณ์กับประกันสังคมได้ภายใน 30 วัน ขอบคุณข้อมูล : FB ไทยคู่ฟ้า (รัฐบาลไทย)  ,  www.sso.go.th
read more
Top